KEY
POINTS
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่าง ๆ จัดเวทีสรุปผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาประสิทธิภาพระบบและกลไกการดำเนินงานเขตสุขภาพเพื่อประชาชน เพื่อแก้ไขปัญหาภัยคุกคามทางสุขภาพจากบุหรี่ไฟฟ้า
โดยเน้นการขับเคลื่อนผ่านกลไก “เขตสุขภาพเพื่อประชาชน” หรือ กขป. ในพื้นที่ 8 เขต พร้อมเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเขต เพื่อขยายผลการทำงานเชิงบูรณาการในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในระยะยาว
การดำเนินงานดังกล่าวมุ่งเน้นการเชื่อมประสานภารกิจของหน่วยงานรัฐ ภาคประชาชน ภาคการศึกษา และภาคีเครือข่ายในระดับพื้นที่ เพื่อร่วมกันลดผลกระทบด้านสุขภาพจากบุหรี่ไฟฟ้า และสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับเด็กและเยาวชน ซึ่งถือเป็นกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
นายสุทธิพงษ์ วสุโสภาพล รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า การขับเคลื่อนนโยบายการปกป้องและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่อยู่ภายใต้มติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น เรื่องการปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่ง สช. และภาคีเครือข่ายได้ร่วมกันดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โดยสอดรับกับการประกาศเจตนารมณ์และเป้าหมาย “Quick Big Win” ของรัฐบาล ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังและเป็นระบบ
รองเลขาธิการ สช. ระบุว่า บุหรี่ไฟฟ้าถือเป็นภัยเงียบที่กำลังสะสมผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนไทยอย่างน่ากังวล จากข้อมูลที่ปรากฏชัดพบว่า อายุของเด็กที่เริ่มติดบุหรี่ไฟฟ้ามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังพบการเพิ่มขึ้นของผู้หญิงที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้า เนื่องจากมีกลิ่นหอมและถูกสร้างภาพลักษณ์เป็นค่านิยมใหม่ ซึ่งสวนทางกับบุหรี่มวนแบบเดิมที่มีกลิ่นเหม็นและถูกมองในเชิงลบ
“เมื่อ สช. และภาคีเครือข่ายมีข้อมูล มีองค์ความรู้ และมีกลไกการทำงานแล้ว สิ่งสำคัญคือการนำมาวางแผนร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม การแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าไม่สามารถทำได้โดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง และไม่สามารถจำกัดอยู่แค่ในโรงเรียนเท่านั้น แต่ต้องมีกิจกรรม กลยุทธ์ และการขับเคลื่อนในระดับชุมชนและสังคม เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริง” นายสุทธิพงษ์ กล่าว
สำหรับมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น การปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า ได้รับการยกระดับเป็นนโยบายสาธารณะ โดยคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ซึ่งกำหนด 5 มาตรการสำคัญ ได้แก่ การพัฒนาและจัดการองค์ความรู้ การสร้างการรับรู้ถึงภยันตรายและการเสพติดของบุหรี่ไฟฟ้า
การเฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า การพัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่ายเพื่อสนับสนุนมาตรการป้องกันและควบคุม และการยืนยันนโยบายป้องกันและปราบปรามการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า โดยคำนึงถึงพันธสัญญาตามกรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก
ด้าน ผศ.ดร.ลักขณา เติมศิริกุลชัย รองประธานคณะกรรมการพัฒนานโยบายสาธารณะประเด็นการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า กล่าวว่า กลไกภาคประชาชนมีบทบาทสำคัญในการบูรณาการเครือข่ายในพื้นที่ ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์สถานการณ์ และวางแผนเชิงพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้า โดยหลายพื้นที่สามารถพัฒนาเป็นแผนและกิจกรรมที่เห็นผลเป็นรูปธรรม
ผศ.ดร.ลักขณา ระบุว่า ตัวอย่างความสำเร็จที่เกิดขึ้นในหลายเขต ได้แก่ การจัดทำธรรมนูญสุขภาพโรงเรียนปลอดบุหรี่ การสร้างชุมชนปลอดบุหรี่ไฟฟ้า และการทำงานร่วมกันของโรงเรียน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งช่วยลดโอกาสการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 17 และ 18 ได้สนับสนุนกระบวนการถอดบทเรียนผ่านเครื่องมือ “หน้าต่างความสำเร็จ” โดยเปิดโอกาสให้ตัวแทน กขป. ในแต่ละเขต ร่วมกันวิเคราะห์การขับเคลื่อนงานต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้าที่ผ่านมา ทั้งในด้านปัจจัยความสำเร็จ ทุนทางสังคม และกลไกสนับสนุนในพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเขต และการขยายผลการทำงานไปยังพื้นที่อื่นในอนาคต
การสรุปผลและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในครั้งนี้ จึงสะท้อนให้เห็นถึงพลังของกลไกเขตสุขภาพเพื่อประชาชนในการเชื่อมโยงนโยบายระดับชาติสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมตอกย้ำว่าการแก้ไขปัญหาภัยบุหรี่ไฟฟ้า จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อปกป้องสุขภาพของเด็กและเยาวชนไทย และสร้างสังคมที่ปลอดภัยในระยะยาว