KEY
POINTS
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากไวรัสอินฟลูเอนซา ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ทั่วโลกและมีการระบาดตามฤดูกาล ไวรัสไข้หวัดใหญ่หลักๆ ที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยในมนุษย์คือ สายพันธุ์ A และ สายพันธุ์ B การทำความเข้าใจความแตกต่างของทั้งสองสายพันธุ์นี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีความแตกต่างจากสายพันธุ์ B อย่างชัดเจน ประการแรกคือเรื่องของศักยภาพในการระบาด โดย สายพันธุ์ A นั้นมีศักยภาพในการก่อให้เกิดการระบาดใหญ่ (Pandemic) ทั่วโลก เนื่องจากเป็นไวรัสที่มีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมสูง (Antigenic Shift และ Drift) และสามารถพบได้ในสัตว์หลายชนิด เช่น นกและสุกร ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ข้ามสายพันธุ์ที่อาจส่งผลให้เกิดการระบาดใหญ่ได้ ส่วนใหญ่มักทำให้เกิดอาการที่หลากหลายและรุนแรงกว่า
ในทางกลับกัน สายพันธุ์ B มักทำให้เกิดการระบาดตามฤดูกาล (Epidemic) แต่ไม่ก่อให้เกิดการระบาดใหญ่ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่ต่ำกว่า (Antigenic Drift เท่านั้น) และมักพบเฉพาะในมนุษย์เป็นหลัก แม้ว่าอาการโดยทั่วไปอาจไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์ A แต่ก็สามารถทำให้เกิดอาการที่รุนแรงได้เช่นกัน โดยสายพันธุ์ B ยังแบ่งออกเป็น 2 สายตระกูลหลักคือ Victoria และ Yamagata
สาเหตุของการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ทั้งสายพันธุ์ A และ B คือ การสัมผัสกับไวรัสอินฟลูเอนซา ซึ่งจะแพร่กระจายจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งผ่านทางช่องทางหลัก ได้แก่ ละอองฝอย ที่มาจากการไอ จาม หรือพูดคุยของผู้ติดเชื้อ นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสพื้นผิวที่มีไวรัสปนเปื้อน เช่น ลูกบิดประตู แล้วนำมือที่สัมผัสเชื้อมาสัมผัสบริเวณตา จมูก หรือปาก ทำให้เกิดการติดเชื้อได้
แม้ว่าไม่มีอาหารใดที่สามารถรักษาไข้หวัดใหญ่ได้โดยตรง แต่การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและบรรเทาอาการในระหว่างการเจ็บป่วย อาหารที่ควรเน้น คือการได้รับน้ำและของเหลวให้เพียงพอตลอดวัน เช่น น้ำเปล่า น้ำซุป หรือชาสมุนไพร เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
รวมถึงการบริโภคโปรตีนคุณภาพดี เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และธัญพืช เพื่อช่วยในการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ นอกจากนี้ ผลไม้และผักที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น ส้ม ฝรั่ง และผักใบเขียว จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ในขณะเดียวกัน อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง คืออาหารรสจัดหรือเผ็ดจัดที่อาจระคายเคืองลำคอ รวมถึงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง แอลกอฮอล์ และคาเฟอีน ซึ่งอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำมากขึ้นและชะลอการฟื้นตัว
วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ถือเป็นมาตรการหลักและมีประสิทธิภาพที่สุดคือ การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เป็นประจำทุกปี เพราะวัคซีนจะครอบคลุมทั้งสายพันธุ์ A และ B ที่คาดว่าจะระบาดในฤดูกาลนั้น นอกจากนี้ การรักษาสุขอนามัยที่ดีเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ โดยต้องหมั่นล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ หลีกเลี่ยงการนำมือมาสัมผัสใบหน้า สวมหน้ากากอนามัย เมื่อต้องอยู่ในที่แออัดหรือเมื่อเริ่มมีอาการป่วย รวมถึงการรักษาสุขอนามัยในการไอหรือจาม โดยการใช้ทิชชูหรือต้นแขนปิดปากและจมูกเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ
การรักษาไข้หวัดใหญ่มุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการและการป้องกันภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยควรพักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวอย่างเต็มที่ สามารถใช้ยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้และบรรเทาอาการปวดเมื่อย ในผู้ป่วยบางรายที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัว
แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัส เช่น โอเซลทามิเวียร์ ซึ่งจะได้ผลดีที่สุดเมื่อเริ่มใช้ภายใน 48 ชั่วโมงแรกที่มีอาการ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นย้ำคือ ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะมารับประทานเอง เนื่องจากยาเหล่านี้ใช้ในการรักษาเชื้อแบคทีเรีย ไม่ใช่ไวรัสไข้หวัดใหญ่