ในยุคที่ผู้คนใช้ชีวิตเร่งรีบ การดูแลสุขภาพกลับกลายเป็นสิ่งที่เราต้องยิ่งให้ความสำคัญมากขึ้น การ “กินเป็นยา” ไม่ใช่เรื่องยากหรือซับซ้อน เริ่มต้นได้ง่ายๆ เราจะพาไปเปิดสูตร “อาหารกลายเป็นยาที่ดีที่สุด” การกินอาหารที่ดีไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นการดูแลสุขภาพชั้นเลิศ ความสวยและสุขภาพเริ่มต้นจากภายใน
การ “กินเป็นยา” ไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่เป็นรากฐานมาจากปรัชญาที่มีมาตั้งแต่สมัยอริสโตเติล ที่เชื่อว่าการเลือกกินสิ่งที่ดีต่อร่างกายคือการรักษาตัวเอง ไม่ใช่แค่เมื่อป่วยแล้วถึงจะใช้ยา แต่เป็นการป้องกันและบำรุงร่างกายในทุกมื้ออาหาร
สุวรรณา หลั่งนำสั่งข์” ผู้บริหาร Lemon Farm ย้ำว่า การกินสิ่งที่ดีต่อร่างกายคือการรักษาตัวเอง ไม่ใช่แค่ยาในการรักษา แต่เป็นการบำรุงร่างกายทุกวัน การเลือกกินอาหารที่ดีจึงไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาติ แต่เป็นเรื่องของการสร้างสมดุลให้กับร่างกาย หนึ่งในเรื่องที่น่าสนใจ คือ การดูแลจุลินทรีย์ในร่างกาย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการย่อยอาหารและรักษาภูมิคุ้มกัน เมื่อเรากินอาหารออแกนิค หรือ เกษตรอินทรีย์ที่ปราศจากสารเคมี และฮอร์โมน เราจะช่วยให้จุลินทรีย์เหล่านี้แข็งแรงขึ้น
ในทางตรงกันข้าม อาหารแปรรูปหรือมีสารกันบูดจะทำลายจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ นี่คือสิ่งที่เราต้องระวัง เพราะระบบภูมิคุ้มกันต้องการความหลากหลายของจุลินทรีย์เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่อาหารออแกนิค หรือเกษตรอินทรีย์ที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี หรือฮอร์โมน จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการ “กินเป็นยา” เพราะไม่มีสารพิษที่จะไปทำลายระบบป้องกันธรรมชาติของร่างกาย อาหารออแกนิค จึงเป็นทางเลือกที่ใกล้ธรรมชาติ
“เชฟหนุ่ม วีระวัตน์ ตริยเสนวรรธน์” เจ้าของร้านซาหมวย&ซันส์ มองว่า การทำอาหารเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำให้อร่อยก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็จะมาตั้งคำถามว่า อาหารอร่อยนั้นมาจากอะไร คำตอบอยู่ที่คุณภาพของวัตถุดิบ การเลือกน้ำปลา น้ำตาล หรือวัตถุดิบท้องถิ่นที่รู้ที่มาที่ไป ไม่เพียงแต่ทำให้อาหารอร่อย แต่ยังเป็น “ยา” ที่ดีสำหรับร่างกายด้วย สิ่งที่น่าสนใจคือการเลือกอาหารตามฤดูกาล เพราะร่างกายเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เมื่อเราเลือกอาหารที่เหมาะสมตามฤดูกาล ร่างกายจะสามารถปรับสมดุลได้เอง
ขณะที่ “หมอต้า วิพุธ สันติวาณิช” ผู้ก่อตั้ง ณ สมดุล ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า “ไม่จำเป็นต้องรอให้ป่วยก่อนถึงจะต้องใช้ยา แต่สามารถปรับอาหารให้เป็นยาทุกวันได้” วิถีแพทย์แผนไทย ปรับอาหารให้เป็นยาได้ การใช้เครื่องเทศและสมุนไพรในอาหาร เช่น รสเปรี้ยว หวาน หรือเผ็ดร้อน สามารถช่วยบำรุงหรือปรับสมดุลของร่างกายได้ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายในแต่ละช่วงเวลา เช่น หากรู้สึกอ่อนเพลีย สามารถเลือกทานอาหารที่มีรสเผ็ดร้อนเพื่อเพิ่มพลัง
หรือถ้ารู้สึกร้อนใน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ร้อนเกินไป การทานอาหารเพื่อสุขภาพว่าไม่ใช่การทานอาหารตามดวงหรือวันเกิด แต่เป็นการเลือกอาหารที่เหมาะสมกับร่างกายและฤดูกาล และนำไปปรับใช้ได้ เช่น การเลือกอาหารตามฤดูกาลและอาหารที่ปลอดสารพิษ ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องรอให้ป่วยก่อนถึงจะต้องใช้ยา แต่สามารถปรับอาหารให้เป็นยาทุกวันได้
“จัง ศิรีลักษณ์ มหาจันทนาภรณ์” ผู้ก่อตั้งร้านปลูกปั่น แบ่งปันประสบการณ์ว่า “ในช่วงแรกของการปรับตัวเพื่อกินอาหารเพื่อสุขภาพนั้นอาจจะยากหน่อย" แต่เมื่อเวลาผ่านไปและกินอาหารที่ดีอย่างสม่ำเสมอ มุมมองต่อความอร่อยจะเปลี่ยนไป สิ่งที่สำคัญคือการพัฒนาความสามารถในการรับรู้ว่าอาหารแบบไหนที่ดีต่อสุขภาพและเหมาะสมกับตัวเราเอง เมื่อเราเริ่มรู้จักตัวเองมากขึ้น เราจะสามารถรับรู้ได้ว่าร่างกายต้องการอะไร เช่น เมื่อรู้สึกร้อนใน เราจะไม่อยากกินอาหารที่ร้อนเกินไป โดยไม่ต้องไปพบหมอก่อน เราจะสามารถรู้ได้ด้วยตัวเองผ่านการปรับพฤติกรรมการกิน
ในยุคที่คำว่า “แซ่บ” มีความหมายทั้ง “อร่อย” และ “รสจัด” เชฟหนุ่มชี้ให้เห็นว่า การปรุงอาหารให้มีรสชาติกลมกล่อมไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งเพื่อให้รสชาติไม่เค็มเกินไป การเติมน้ำตาล หรือพริกอาจเป็นทางเลือก แต่ก็อาจสร้างภาระให้กับร่างกายในระยะยาว
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ “หมาล่า” ที่ในต้นตำรับมีสรรพคุณดีในการขับลมและให้ความอบอุ่น แต่เมื่อปรับแต่งให้เข้ากับรสนิยมของคนไทย ด้วยการเติมน้ำมันและเครื่องปรุงมากเกินไป กลับอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้
การกินน้ำผลไม้ที่ยังคงมีกาก (fiber) จะช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่พุ่งสูงเร็วเกินไป แต่น้ำหวานที่มีน้ำตาลสูง และหากทานมากเกินไป จะทำให้ระดับ pH ของเลือดในร่างกายเปลี่ยนไปเป็นกรด ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพ เช่น ทำให้ร่างกายเกิดการอักเสบในร่างกาย และเพิ่มความเสี่ยงของโรคต่างๆ และเมื่อกินน้ำตาลมากเกินไป ร่างกายจะพยายามปรับสมดุลด้วยการรับประทานอาหารเค็ม ซึ่งสร้างวงจรที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
คำแนะนำสำหรับคนยุคใหม่ สำหรับคนที่มีเวลาจำกัด หมอต้า แนะนำว่า ไม่จำเป็นต้องทานผักหลายสิบชนิดในแต่ละมื้อ สามารถเลือกทาน “ข้าวคลุกสุขภาพ” ที่ประกอบด้วยผัก 10 ชนิดในจานเดียว รวมถึงโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตจากธัญพืช ขณะที่เชฟหนุ่ม แนะสร้างนิสัยใหม่ โดยเริ่มจากการเลือกร้านอาหารที่มีเมนูผักและโปรตีนให้เลือกอย่างหลากหลาย เช่น ร้านข้าวรากแก้วที่มีผักหลายชนิด
หลักการง่ายๆ ที่ทำได้ทุกวันกินอาหารหลากหลายอย่างน้อย 30 ชนิดต่อวัน เลือกอาหารตามฤดูกาลที่สดใหม่หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปสูงที่มีสารเคมี ใส่ใจในการเลือกวัตถุดิบที่รู้ที่มาที่ไป ข้อคิดสำคัญ “ร่างกายคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด” คุณสุวรรณา จึงตั้งคำถามที่น่าคิดว่า “เราต้องการชีวิตที่ยืนยาวไหม?” เธอเปรียบร่างกายเป็น “เสาเข็ม” ของชีวิต ถ้าเสาเข็มไม่ดี ตึกก็จะพังลงมา การดูแลตัวเองไม่ใช่แค่เพื่อตัวเราเอง แต่เพื่อคนที่เรารักด้วย เมื่อร่างกายเสื่อมสภาพ ก็จะส่งผลกระทบต่อครอบครัวและคนรอบข้าง
ประเทศไทยมีศักยภาพมหาศาลในการเป็นผู้นำด้าน “อาหารที่เป็นยา” เพราะเรามีความหลากหลายของอาหาร วัฒนธรรม และภูมิปัญญาสมุนไพรที่เป็นเอกลักษณ์
หมอต้ามองว่า การนำเสนออาหารไทยในมุมมองของ “อาหารที่เป็นยา” จะเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่สำคัญ ไม่เพียงแต่จะเป็นโอกาสสำหรับคนไทย แต่ยังสามารถส่งออกไปสู่ต่างประเทศได้
สุวรรณา เสริมว่า หากเราสามารถทำให้ประเทศไทยกลายเป็น “บลูโซน” บนพื้นฐานของอาหารธรรมชาติ จะทำให้เราเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพที่สำคัญของโลก
เริ่มต้นวันนี้เพื่ออนาคตที่ยืนยาว การ “กินเป็นยา” ไม่ใช่เรื่องยากหรือซับซ้อน เริ่มต้นได้ง่ายๆ จากการมีสติในการเลือกอาหาร ใส่ใจในคุณภาพวัตถุดิบ และเข้าใจว่าร่างกายต้องการอะไร “เรารักตัวเองมากพอหรือยัง ถึงจะหันมาดูแลตัวเองมากขึ้น” คำถามง่ายๆ ที่อาจเปลี่ยนชีวิตเราได้