กดแล้วเจ็บ คลำได้ก้อน ระวัง "ต่อมน้ำเหลือง" โต อันตรายกว่าที่คิด

12 ส.ค. 2568 | 22:18 น.

ต่อมน้ำเหลืองโตไม่ใช่เรื่องเล็ก! รู้ทันสัญญาณเตือน อาการ และสาเหตุ พร้อมวิธีรักษา ก่อนลุกลามเป็นปัญหาสุขภาพร้ายแรง

"ต่อมน้ำเหลือง" เป็นอวัยวะขนาดเล็กในระบบน้ำเหลือง ลักษณะเป็นก้อนรูปไข่กระจายทั่วร่างกาย ทำหน้าที่กรองและดักจับสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเชื้อโรค ก่อนสร้างภูมิคุ้มกันปกป้องร่างกาย หากต่อมน้ำเหลืองเกิดภาวะบวมโต มักเป็นสัญญาณบ่งบอกการติดเชื้อหรือความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน

ต่อมน้ำเหลืองโต คืออะไร

ต่อมน้ำเหลืองโต หมายถึง ภาวะที่ต่อมน้ำเหลืองมีขนาดใหญ่กว่าปกติ อันเกิดจากร่างกายกำลังต่อสู้กับการติดเชื้อ การอักเสบ หรือความเครียดทางร่างกาย ซึ่งทำให้ระบบน้ำเหลืองทำงานหนักขึ้นเพื่อกำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม

อาการที่ควรสังเกต

  • ผู้ที่มีภาวะต่อมน้ำเหลืองโต มักพบอาการต่อไปนี้
  • กดแล้วเจ็บบริเวณต่อมน้ำเหลือง
  • คลำได้ก้อนบวมโต
  • ผิวหนังบริเวณนั้นบวม แดง
  • อาจมีไข้หรืออาการคล้ายหวัดร่วมด้วย

กดแล้วเจ็บ คลำได้ก้อน ระวัง "ต่อมน้ำเหลือง" โต อันตรายกว่าที่คิด

ควรพบแพทย์ทันที หากมีลักษณะต่อไปนี้

  • ก้อนโตเกิน 1.5-2 เซนติเมตร
  • โตเร็วและไม่ยุบภายใน 1 เดือน
  • เจ็บคอ กลืนลำบาก หรือหายใจติดขัด
  • น้ำหนักลดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • มีไข้หลายวันหรือเหงื่อออกมากตอนกลางคืน

สาเหตุที่พบบ่อย

  • การติดเชื้อไวรัส เช่น หัด, HIV
  • การติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณหู โพรงจมูก ฟัน ผิวหนัง หรือทอนซิล
  • การติดเชื้อวัณโรค
  • ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
  • โรคมะเร็งที่แพร่กระจายมาที่ต่อมน้ำเหลือง เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งไทรอยด์

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

หากต่อมน้ำเหลืองโตจากการติดเชื้อและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น

  • เกิดโพรงหนอง ต้องรักษาด้วยการระบายหนองและใช้ยาปฏิชีวนะ
  • กดทับอวัยวะรอบข้าง อาจกระทบต่อเส้นประสาทและการทำงานของอวัยวะสำคัญ
  • ติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาจรุนแรงจนทำให้อวัยวะล้มเหลวและเสียชีวิต
  • ภาวะที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุดคือ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

แนวทางการรักษา

  • การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุที่แพทย์วินิจฉัย
  • หากเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ใช้ยาปฏิชีวนะ พร้อมการประคบร้อน บรรเทาปวด และพักผ่อน
  • หากเกิดจากเชื้อไวรัส เช่น HIV หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ต้องใช้การรักษาเฉพาะ เช่น การใช้ยาต้านไวรัส ผ่าตัด ฉายรังสี หรือทำเคมีบำบัด
  • หากอาการไม่ดีขึ้นภายในระยะเวลาที่เหมาะสม ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

ข้อแนะนำสำคัญ: อย่ามองข้ามภาวะต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะหากมีอาการนาน ไม่ยุบเอง หรือมีสัญญาณผิดปกติอื่นร่วมด้วย เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคร้ายแรง

ข้อมูลจาก : อ. พญ.โยษิตา หมื่นแก้ว ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล