ทีเอสดีเอจับมือมหาวิทยาลัยศรีปทุมตอบโจทย์ขายตรง จัดหลักสูตรบัณฑิตปริญญาโทป้อนพันบริษัท

17 ส.ค. 2559 | 04:00 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

ส.พัฒนาการขายตรงไทย ผนึกม.ศรีปทุม เปิดหลักสูตรป.โท ด้านขายตรง หวังผลิตบัณฑิตป้อน 1,000 บริษัทขายตรง ดึง "ดร.สมชาย" แห่งจอยแอนด์คอยน์นั่งเป็นหัวหน้าร่างหลักสูตร ขณะที่ธุรกิจตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 2,500 ล้าน เดินหน้าขายแฟรนไชส์ และเปิดห้างสรรพสินค้ากระตุ้นยอด

[caption id="attachment_85809" align="aligncenter" width="335"] ดร.สมชาย หัชลีฬหา  ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จอยแอนด์คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ดร.สมชาย หัชลีฬหา
ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จอยแอนด์คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด[/caption]

ดร.สมชาย หัชลีฬหา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จอยแอนด์คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และในฐานะนายกสมาคมพัฒนาการขายตรงไทย (TSDA) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีปทุม จัดทำหลักสูตรปริญญาโท ภาควิชาขายตรง ภายใต้คณะการจัดการมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัยด้านการจัดการ เพื่อพัฒนาบุคลากรเข้าสู่ธุรกิจขายตรง ซึ่งถือว่าเป็นหลักสูตรระดับปริญญาโทครั้งแรกของประเทศไทย ที่เปิดการเรียนการสอนเกี่ยวกับธุรกิจขายตรงขึ้น โดยเป็นหลักสูตรที่ใช้ระยะเวลาเรียนเพียง 1 ปี หรือจำนวน 36 หน่วยกิต จากหลักสูตรทั่วไปที่ใช้เวลาเรียน 2 ปี ด้วยค่าเรียนตลอดหลักสูตร 1.76 แสนบาท ซึ่งนักศึกษารุ่นแรกได้เปิดเรียนแล้วในเดือนสิงหาคมปีนี้

"หลักสูตรเกี่ยวกับธุรกิจขายตรง ที่มีเปิดสอนอยู่จะมีวิชาเลือกในระดับปริญญาตรี ยังไม่มีมหาวิทยาลัยใดเปิดเป็นหลักสูตรปริญญาโท โดยตนเองได้เป็นหัวหน้าสาขาวิชาในการร่างหลักสูตร ที่ต้องการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับธุรกิจด้านนี้โดยเฉพาะ จากที่ผ่านมาธุรกิจขายตรงจะรับบุคลากรจากสาขาวิชาอื่นๆ ซึ่งนอกจากนักศึกษาจะเรียนวิชาพื้นฐานแล้ว ยังเรียนวิชาด้านขายตรง อาทิ การจัดการขายตรง หลักขายตรง การจัดการระบบขายตรง และระบบการฝึกอบรม ซึ่งผู้จบการศึกษาสามารถเลือกทำงานกับบริษัทขายตรงที่เปิดอยู่กว่า 1,000 บริษัท"

ด้านแผนธุรกิจในปีนี้บริษัทได้ปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นประมาณ 7% เนื่องจากต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้นแต่การเพิ่มราคาสินค้าก็ส่งผลให้นักธุรกิจสามารถมีเงินปันผลเพิ่มมากขึ้นด้วย จึงคาดว่าจะส่งผลทำให้ยอดขายปีนี้น่าจะทำได้ 2,500 ล้านบาท ส่วนปีหน้าคาดว่าจะทำได้ 3,000 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันยอดขายยังอยู่ในอัตราคงที่เท่ากับปีที่ผ่านมา ส่วนอัตราสมาชิกใหม่ถือว่ามีเพิ่มขึ้นอย่างคงที่เฉลี่ยเดือนละ 1 หมื่นราย จากปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกรวม 2 ล้านคน โดยครึ่งปีหลังจะเน้นการฝึกอบรม การกระตุ้นยอดขายด้วยการจัดโปรโมชันต่างๆ รวมถึงการเพิ่มเงินรางวัลพิเศษอีก 2-3% ด้วย

ดร.สมชาย กล่าวอีกว่า ได้เตรียมเปิดให้บริการห้างสรรพสินค้า จอยแอนด์คอยน์ สาขาหาดใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งลงทุนประมาณ 80 ล้านบาท และจะลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 500 ล้านบาท เพื่อเปิดสาขาเพิ่มอีก 5 แห่ง โดยเปิดภายในปีนี้ 2 แห่งที่จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดขอนแก่น ส่วนปีหน้าจะเปิดอีก 3 แห่ง ที่จังหวัดตรัง สุราษฎร์ธานี และชลบุรี ส่วนร้าน เจซี ไอมาร์ท (JC iMart) ซึ่งเป็นร้านแฟรนไชส์อีกรูปแบบหนึ่งที่ขายให้กับนักธุรกิจ นำสินค้าไปจำหน่ายพร้อมกับมีระบบ E-Wallet ในการควบคุมการทำงานเพื่อให้มีประสิทธิภาพด้วย ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 30 สาขา คาดว่าสิ้นปีนี้จะขยายได้ครบ 100 สาขา

ขณะที่แฟรนไชส์ J&C M-Shop ซึ่งเป็นธุรกิจแฟรนไชส์รูปแบบใหม่ เป็นรถยนต์ที่ออกแบบมาใช้สำหรับการขายสินค้า ภายในรถยนต์จะมีสินค้าและระบบบริหารการจำหน่ายสินค้า JC M Commerce ที่สามารถทำธุรกรรมได้ทั้งผ่านสมาร์ทโฟน หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ นอกจากภายในรถยนต์จะมีสินค้าของบริษัทและพันธมิตรแล้ว ยังมีระบบการให้บริการด้านการเงิน ลักษณะเคาน์เตอร์เซอร์วิส การเติมเงินโทรศัพท์มือถือ การจำหน่ายกาแฟสด หรือเครื่องดื่มต่างๆ ได้ ที่ผ่านมามีนักธุรกิจซื้อแฟรนไชส์ไปแล้ว 20 คัน ซึ่งแต่ละเดือนจะมีนักธุรกิจซื้อแฟรนไชส์เฉลี่ย 2-3 คัน คาดว่าภายในสิ้นปีนี้บริษัทน่าจะขายแฟรนไชส์ได้ 30-40 คัน

Photo : SPU
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,183 วันที่ 14 - 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559