" อวกาศ พรมแดนด่านสุดท้าย...
...นี่คือการเดินทางของยานอวกาศ เอนเทอร์ไพรซ์ ภาระกิจของยานคือ การสำรวจโลกใหม่...
...ค้นหารูปแบบชีวิตใหม่ และอารยธรรมใหม่ ท่องไปอย่างกล้าหาญ สู่ที่ซึ่งไม่มีใครไปมาก่อน !! "
ลูกเรือ StarFleet สมาชิกของยาน USS Enterprise NCC-1701
อูฮูร่า (นิเชลล์ นิโคลส์) เจ้าหน้าที่สื่อสารประจำยาน เธอมีความรู้ความสามารถที่เข้าใจภาษาต่างดาวมากมาย
ซูลู (จอร์จ ทาเคอิ) นักบินประจำยานผู้มากด้วยประสบการณ์
พาเวล อังเดรวิช เชคอฟ (วอลเทอร์ โคนิก) ต้นหนของยาน เอนเทอร์ไพรซ์
The Journey Of Star Trek
Star Trek : The Motion Picture (1979)
เรื่องราวเกิดขึ้น 3 ปีหลังจากเหตุการณ์ในซีรีส์ทางโทรทัศน์ เมื่อเกิดกลุ่มก้อนพลังงานสีฟ้า กำลังพุ่งตรงมายังโลก วัตถุนี่มีสนามพลังกินขอบเขตที่ใหญ่มาก ราวกับเป็นอีกแกแลคซี่ ไม่ว่าจะผ่านไปที่ไหน ที่นั่นก็จะถูกทำลายดูดกลืนให้สลายไปจนสิ้น ดังนั้นทางโลกจึงเกรงกลัวว่าถ้ามันตรงมาทางนี้แล้วโลกก็เป็นสลายไปด้วย เป็นการกลับมาช่วยจักรวาลของกัปตันเจมส์ ที เคิร์ก ผู้บัญชาการยานเอนเทอร์ไพรซ์ และ เหล่าลูกยานประจำยาน คุณหมอเลนเนิร์ด โบนส์ แม็กคอย, ชาววัลแคน สป็อค, สก็อตตี้, ซูลู, พาวเวลล์ เชคอฟ และ อูฮูร่า
โปรเจคของ Star Trek : The Motion Picture เริ่มต้นในปี 1978 โดยผู้ริเริ่มก็ไม่ใช่ใครอื่นคือ ยีน ร็อดเดนเบอร์รี นั้นเอง ที่เขายังคงเชื่อมันในศักยภาพของ Star Trek ที่จะไปต่อได้บนจอภาพยนต์ ซึ่งทุนสร้างคือ $15 ล้าน แต่ด้วยปัญหาความล้าช้าในการถ่ายทำทำให้ทุนสร้างของหนังดีดขึ้นไปสูงถึง $46 ล้าน เมื่อได้ลงโรงฉายแล้วก็สามารถสร้างปรากฎกาณ์รายได้เปิดตัวไป $11 ล้าน และปิดตัวเลขไปได้ $86 ล้าน แม้ว่าจุดเริ่มต้นของการเดินทางของลูกเรือ เอนเทอร์ไพรซ์ บนจอเงินจะดูสดใส แต่มันยังไม่ได้เป็นที่พอใจของผู้สร้างเมื่อเทียบกับทุนสร้างและงบโฆษณาที่ได้ลงไป ทั้งหมดเหมือนจะเป็นความผิดพลาดของตัว ยีน ร็อดเดนเบอร์รี เองทำให้ให้ภาคต่อมาไม่มีชื่อของเขาเกี่ยวข้องอีกต่อไป
Star Trek : The Wrath Of Khan (1982)
ยานเอนเทอร์ไพรซ์ต้องมาเผชิญหน้ากับ "ข่าน" (ริคาโด้ มอนเทบัน) เขาคือ มนุษย์ที่ถูกตัดต่อพันธุกรรมให้แข็งแกร่งกว่าคนปกติทั้งพละกำลังและสติปัญญา จากศตวรรษที่ 20 ข่านและพวกอยู่ในภาวะจำศีลยาวนาน ทั้งหมด 72 คน ในยานลี้ลับล่องลอยในอวกาศ จนยานเอนเทอร์ไพรซ์บังเอิญมาพบเข้า จึงช่วยปลุก ข่าน ตื่นขึ้นอีกครั้ง แต่ข่านดันคิดยึดยานเอนเทอร์ไพรซ์ แต่แล้วข่านก็พลาดท่า โดนกัปตันเคิร์กจัดการในที่สุด จนถูกเคิร์กตัดสินปล่อยเกาะทิ้งที่ดาวที่มีสภาพเลวร้ายแต่ทว่า ข่าน กลับหลบหนีออกมาได้และด้วยความแค้นกัปตันเคิร์ก ก็เลยคิดจะตามล้างแค้นยานเอนเทอร์ไพรซ์ และภาคนี้ยังสะเทือนใจเหล่าบรรดาแทร็คกี้ทั่วโลกจากการขากไปของตัวละครสำคัญอย่าง สป็อค !!
คราวนี้ตำแหน่งโปรดิวเซอร์เป็นของ ฮาร์ฟ เบนเน็ต ที่ได้รับมอบหมายจากพาราเมาต์ว่าเป็นไปได้มั้ยที่เขาจะใช้ทุนสร้างเพียง $11 ล้านได้หรือไม่ ซึ่ง เบนเน็ต ตอนนั้นเขาเป็นโปรดิวเซอร์รายการทางทีวีอยู่ ก็เรียกว่าเข้าทางเพราะปกติเขาต้องทำงานด้วยงบที่จำกัดอยู่แล้ว ซึ่งทุกอย่างของ Star Trek : The Wrath Of Khan ก็ถือว่าเป็นการใช้ประโยชน์อย่างสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นฉากที่เคยสร้างเอาไว้ในภาคแรกถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งโดยมีการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย หรือแม้แต่ฟุตเตจบางฉากก็เป็นการใช้จากของเก่า The Wrath Of Khan ทำรายได้ไปทั้งหมด $78 ล้าน ถึงแม้จะน้อยกว่าภาคแรกแต่ด้วยคำวิจารณ์ที่ออกมาในแง่ดีและจากทุนสร้างเพียง $11 ล้าน จึงถือว่าภาคนี้กลายเป็นความสำเร็จที่แท้จริง
Star Trek III : The Search For Spock (1984)
คราวนี้ กัปตันเคิร์ก ต้องนำลูกทีมทั้งหมดกลับไปยังดาวที่เรียกว่า เจเนซีส เป็นโครงการชุบชีวิตดาวที่ตายไปแล้ว เพื่อนำวิญญาณของ สป็อค ไปที่นั้นเพื่อนำกลับเขาร่างที่เกิดใหม่แต่ไร้สติสัมปะชัญญะ คราวนี้เหล่าลูกยานเอนเทอร์ไพรซ์ ต้องขโมยยานฝ่าฝืนคำสั่งของ สตาร์ฟีท อีกทั้งเรื่องวุ่นวายอีกมากทั้ง พฤติกรรมที่แปลกไปของ หมอ แมคคอย และยังต้องต่อสู้กับ นายพลครูจก์ ชาวดาวคลิงออน ที่หวังต้องการาเทคโนโลยีของ เจเนซีส มาสร้างเป็นอาวุธ
หลังจากเรื่องราวในภาคที่แล้ว การตายของสป็อค ทำให้ภาคนี้การนำตัวละครตัวนี้กลับมาจึงกลายเป็นภารกิจหลัก ยังได้ ฮาร์ฟ เบนเน็ต มารับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์เหมือนเดิม และหน้าที่ผู้กำกับให้ เลิร์ดนาร์ด นิมอย นักแสดงที่เล่นเป็น สป็อค อีกด้วย การนำ ชาวคลิงออนมาเป็นตัวร้ายในภาคนี้ก็เป็นไอเดียของ นิมอยที่เกิดจากความชื่นชอบของตัวเขาเองและเนื่องจากเนื้อหาส่วนใหญ่คือการตามหาตัว สป็อค ตัว เลิร์ดนาร์ด นิมอย เองจึงมีเวลามาทำหน้าที่ผู้กำกับมากเพราะคิวการแสดงเพียงไม่กี่ฉากเท่านั้น ซึ่ง นิมอยก็สามารถทำได้ดีทั้งสองหน้าที่ Star Trek III : The Search For Spock ปิดรายได้ไปทั้งหมด $76 ล้าน จากทุนสร้าง $17ล้าน ก็นับว่าไม่ขี้เหร่เท่าไหร่
Star Trek IV : The Voyage Home (1986)
Star Trek V : The Final Frontier (1989)
เนื้อเรื่องชองภาคนี้ต่อจากภาคก่อนไม่นานนัก เหล่าลูกเรือเอนเทอร์ไพรซ์ ไม่มีเวลาได้หยุดพัก พวกเขาได้พบกับ ไซบอก พี่ชายต่างมารดาของ สป็อค เขาได้จับฑูตจากดวงดาวต่างๆ และบังคับเอายานของ กัปตันเคิร์ก เพื่อที่จะได้เดินทางไปทั้ง ดาวชาร์การี อันเป็นที่ๆ ไม่มีใครเคยเข้าไป มีตำนานเล่าขานกันว่า ณ ชาการ์รี นั้น คือสถานที่อันเป็นที่อยู่ของ จิตจักรวาลและความรู้แจ้งสูงสุด หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ "พระเจ้า" นอกจากการเดินทางเพื่อท้ายทายความเชื่อแล้ว ทีมยานเอนเทอร์ไพรซ์ยังจะต้องเจอกับ พวกคลิงออนที่ตามมาด้วยอีกด้วย
จากภาคก่อนที่ได้นักแสดง เลิร์ดนาร์ด นิมอย มาเป็นผู้กำกับ คราวนี้ก็ถึงคราวของเพื่อนนักแสดงอย่าง วิลเลี่ยม แชทเนอร์ มาเป็นผู้กำกับบ้าง โดยเนื้อเรื่องของ แชทเนอร์ จะเน้นไปที่เรื่องของศาสนาซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมันไม่ใช่ผลดีเลยสำหรับ STAR TREK เพราะนอกจากกระแสจะไม่ดีและไม่เป็นที่ถูกใจของบรรดาเเฟนๆ และนักวิจารณ์แล้ว หนังยังทำรายได้ไปเพียง $52 ล้าน ที่เมื่อเทียบกับทุนสร้าง $27 ล้านแล้ว ก็ถือว่าน่าผิดหวัง โดยเฉพาะบรรดาเหล่า เทรคกี้ได้บอกว่า Star Trek V : The Final Frontier มันคือ ภาคที่ห่วยที่สุด ทั้งหมดนี้กลายเป็นว่า วิลเลียม แชทเนอร์ กลายเป็นคนปิดตำนานหนังชุดนี้ไปเสียแล้ว
Star Trek VI : The Undiscovered Country (1991)
สันติภาพกำลังจะเกิดขึ้นเมื่อ กอร์คอน ราชาแห่งเผ่าพันธุ์คลิงออน ซึ่งเป็นคู่แค้นกับสหพันธ์ดวงดาวมาอย่างยาวนาน ต้องการจะเซ็นสัญญาเพื่อสงบศึก ทางสหพันธ์จึงมีมติส่ง กัปตันเคิร์ก ที่คอยสู้รบกับคลิงออนมาตลอดไปต้อนรับแสดงความเป็นมิตรและคอยคุ้มกันการเดินทางของคณะประมุข กอร์คอน ไปสู่งานประชุมสันติภาพแต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อจู่ๆ ยานอวกาศของ กอร์คอน ถูกยิง และมีมือสังหารในชุดอวกาศเข้าทำการลอบสังหาร ต่อหน้าต่อตายานเอนเทอร์ไพร์ซ และใส่ความว่า กัปตันเคิร์ก เป็นคนสั่งการ เขาจึงต้องพิสูจน์ว่าตนเองบริสุทธิ์ก่อนที่จะเกิดสงครามขึ้น
หลังจากการเดินทางอันยาวนานของลูกเรือ เอนเทอร์ไพรซ์ Star Trek VI : The Undiscovered Country ถือเป็นภาพยนต์ลำดับสุดท้ายที่จะได้เห็นนักแสดงยุคบุกเบิกมาแสดงอีก นับเป็นเรื่องน่าใจหายแต่หากจะนับเวลาที่ผ่านมากว่า 25 ปี ภาคนี้ก็นับเป็นภาคที่อะไรหลายๆ อย่างสิ้นสุดลง ไม่ว่าจะเป็นการที่ ฮาร์ฟ เบนเน็ต ถอนตัวหลังจากเป็นโปรดิวเซอร์ให้ภาพยนต์ชุดนี้มานาน และด้วยความที่หนังใส่ประเด็นการเมืองเข้าไปให้เข้ากับสถานการณ์ในตอนนั้นกลับทำให้หนังไม่ได้เป็นที่จดจำให้ฐานะ ภาพยนต์ปิดฉากตำนานชุดเดิม และ ยีน ร็อดเดนเบอรี่ ก็เสียชีวิตก่อนที่ภาพยนต์จะเข้าฉาย หนังปิดตัวไปที่รายได้ $75 ล้านจากทุนสร้าง $27 ล้าน แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วความสำเร็จในครั้งนี้ก็ยังน้อยนิดอยู่ดี
บทสรุปสุดท้ายของตำนาน Star Trek ฉบับดั้งเดิมได้จบลงตามกาลเวลา แต่ทว่าตำนาน Trek ก็หาได้จบเพียงเท่านี้ หลังจากปลดประจำการชุด กัปตันเคิร์ก ไปแล้ว เหล่าเจ้าหน้าที่ สตาร์ฟีท ลูกเรือยานเอนเทอร์ไพรซ์ ชุดถัดไปก็เตรียมสานต่อรับหน้าที่ท่องอวกาศอันกว้างใหญ่ต่อไป ติดตามได้ให้ The Journey Of Star Trek Part 2