KEY
POINTS
(21 ธ.ค. 68) นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงสถิติสาเหตุเพลิงไหม้ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พร้อมคำแนะนำสำหรับประชาชน ถึงแนวทางการป้องกัน ข้อควรระวัง วิธีการเอาตัวรอด และการแจ้งเหตุเมื่อเกิดเพลิงไหม้ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินตลอดช่วงวันหยุดยาวปีใหม่นี้
เพลิงไหม้ 3 ปีล่าสุด
พบสาเหตุอันดับหนึ่งมาจากหมวดอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้ารวมกัน 823 ครั้ง จากทั้งหมด 1,745 ครั้ง ที่เป็นสถิติข้อสันนิษฐานสาเหตุเพลิงไหม้ในกรุงเทพมหานคร โดยสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 3 ปีล่าสุด (2566–2568)
6 อันดับสูงสุดที่เป็นสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ ได้แก่
1. เครื่องใช้ไฟฟ้า 311 ครั้ง
2. ปลั๊กติดผนังและสายไฟ 269 ครั้ง
3. ปลั๊กพ่วง 243 ครั้ง
4. การประกอบอาหาร อุ่นอาหาร และก๊าซหุงต้มชำรุด 108 ครั้ง
5. การจุดธูปเทียน 136 ครั้ง
6. การจุดไฟเผา เผาหญ้า เผาขยะ และก้นบุหรี่ 62 ครั้ง
จะเห็นได้ว่าสาเหตุหลักของเพลิงไหม้กว่าร้อยละ 47 มาจากหมวดอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่รวมกัน 823 ครั้งโดยประกอบด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้า 311 ครั้ง ปลั๊กติดผนังและสายไฟ 269 ครั้ง และปลั๊กพ่วง 243 ครั้ง ซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งที่ชาวกรุงเทพฯ ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
เปิด “คาถากันไฟ” ฉบับ กทม. แนะประชาชนสร้างวินัยความปลอดภัย ปลอดอัคคีภัยก่อนหยุดยาว
สำหรับแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้ประชาชนสร้างความคุ้นชินในการตรวจสอบความปลอดภัยเพื่อป้องกันเพลิงไหม้ แบ่งข้อควรระวังออกเป็น 4 หมวดสำคัญ จากสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้สูงสุด ได้แก่
1. ระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้า (เครื่องใช้ไฟฟ้า / ปลั๊กผนัง / ปลั๊กพ่วง) การเลือกซื้อ เน้นสินค้าที่มีมาตรฐาน มอก. รองรับแรงดันไฟฟ้าในประเทศไทย และมีการรับประกันที่ชัดเจน การใช้งาน หมั่นตรวจสอบสภาพสายไฟและเต้ารับ หากพบรอยไหม้หรือความหลวมคลอนให้รีบแก้ไข ห้ามนำปลั๊กพ่วงมาต่อพ่วงกันหลายทอด และสังเกตเสียงผิดปกติขณะใช้งาน หลังใช้งาน ต้องถอดปลั๊กทุกครั้ง และทำความสะอาดเต้ารับสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันฝุ่นสะสมซึ่งเป็นสาเหตุของการสปาร์ก
2. การจุดธูปเทียน ก่อนจุด เลือกพื้นที่ตั้งวางที่มั่นคง ห่างจากวัสดุติดไฟง่าย เช่น ผ้าม่าน หรือกองกระดาษ และต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในบ้านที่มีเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยติดเตียง หลังจุด ห้ามทิ้งธูปเทียนไว้โดยไม่มีคนดูแล และต้องตรวจสอบให้มั่นใจว่าดับสนิทก่อนออกจากที่พักหรือเข้านอน
3. การประกอบอาหารและก๊าซหุงต้ม ก่อนใช้งาน ตรวจเช็กเตาและสายส่งว่าไม่มีก๊าซรั่วซึม ใช้ในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ระหว่างใช้งาน ห้ามเปิดเตาทิ้งไว้โดยไม่มีคนเฝ้า หลังใช้งาน ต้องปิดวาล์วที่ถังแก๊สและปิดเตาให้เรียบร้อยทุกครั้ง พร้อมทำความสะอาดคราบไขมันสะสมซึ่งเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี
4. การเผาขยะ หญ้า และบุหรี่ แนวทางป้องกัน งดการเผาขยะหรือใบไม้แห้ง แนะนำให้เปลี่ยนเป็นการทำปุ๋ยหมัก หรือแยกทิ้งตามประเภทขยะแทน สูบบุหรี่ในพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้เท่านั้น และต้องดับก้นบุหรี่ให้สนิทก่อนทิ้งทุกครั้ง เพื่อป้องกันการปลิวไปติดวัสดุที่ติดไฟ
“คัมภีร์เอาตัวรอด” เมื่อเกิดเหตุอัคคีภัย เน้นสติ – รู้วิธีอพยพ – ใช้ถังดับเพลิงถูกวิธี
สำหรับแนวทางปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เน้นย้ำให้ประชาชนเตรียมความพร้อมและเรียนรู้วิธีการเอาตัวรอดจากเพลิงไหม้และควันไฟอย่างถูกวิธี ดังนี้
1. สังเกตและประเมินสถานการณ์ หากได้กลิ่นควันหรือได้ยินเสียงเตือน ให้ใช้หลังมือสัมผัสลูกบิดประตู หากร้อนห้ามเปิด เพราะอาจมีไฟอยู่ด้านหลัง กรณีเพลิงไหม้เล็กน้อยให้ใช้ถังดับเพลิงทันที หากลุกลามให้เร่งอพยพและโทรแจ้ง 199
2. ตั้งสติและแจ้งเหตุ ไม่ตื่นตระหนก ประเมินเส้นทางหนีไฟที่ปลอดภัย เมื่อแจ้งสายด่วน 199 ให้ระบุสถานที่เกิดเหตุ เส้นทางในบ้าน และจำนวนผู้ติดค้างให้ชัดเจน เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือได้รวดเร็ว
3. การใช้ถังดับเพลิง (ดึง–ปลด–กด–ส่าย) ดึงสลัก ปลดสายฉีด เล็งที่ฐานเพลิง กดคันบีบและส่ายไปมา หลังใช้งานควรระบายอากาศ สวมหน้ากากอนามัย และนำถังไปเติมสารใหม่ทันที ไม่สามารถใช้ซ้ำได้
4. เทคนิคหนีควันไฟ หมอบหรือคลานต่ำใกล้พื้นเพื่อหาอากาศหายใจ ใช้ผ้าชุบน้ำปิดจมูกและปาก ห้ามหลบในห้องน้ำหรือจุดอับ ควรไปที่หน้าต่างเพื่อส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ และหนีออกจากพื้นที่ให้เร็วที่สุด โดยไม่เปิดประตูไปยังห้องที่มีกลุ่มควัน
กทม. ขอให้ประชาชนหมั่นซักซ้อมและจดจำวิธีปฏิบัติเหล่านี้ให้ขึ้นใจ เพื่อลดโอกาสการสูญเสีย และเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน
สำหรับช่องทางแจ้งเหตุฉุกเฉิน หมายเลขโทรศัพท์สายด่วนที่ประชาชนควรมีติดเครื่องไว้ เพื่อการแจ้งเหตุและรับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ได้แก่ 199 สายด่วนไฟไหม้, 191 แจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายทั่วไป, 1646 เจ็บป่วยฉุกเฉินในพื้นที่กรุงเทพฯ, 1669 เจ็บป่วยฉุกเฉิน (ทั่วประเทศ), 1677 มูลนิธิร่วมด้วยช่วยกัน และ 1555 สายด่วน กทม.