KEY
POINTS
นายชวลิต จันทรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEAMG ให้สัมภาษณายการฐานทอล์ค ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะที่อำเภอหาดใหญ่และสงขลา ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้มีความ "หนักกว่าที่เคยเป็นมา" เนื่องจากเกิดจากปัจจัยความรุนแรง 3 ประสาน หรือ 3 แรงบวก
น้ำท่วมครั้งนี้เกิดจากปริมาณฝนที่ตกหนักมากและต่อเนื่องยาวนานถึง 4–5 วัน โดยมี 3 องค์ประกอบหลักที่เสริมความรุนแรง
ความรุนแรงของฝนในภาคใต้ หากตก 200 มิลลิเมตรต่อวันถือว่าธรรมดา แต่ในเหตุการณ์นี้ปริมาณฝนตกสูงถึง 300–400 มิลลิเมตร และตกต่อเนื่องกันถึง 5 วัน ซึ่งถือว่าหนักเกินปกติและหนักมากสำหรับภาคใต้
น้ำปริมาณมหาศาลจากแหล่งต้นน้ำหลักคือ เขาคอหงส์ และที่สำคัญที่สุดคือ เขาสันกราากีรี ซึ่งเป็นเขาสันปันน้ำ ได้ไหลลงมายังพื้นที่ต่างๆ น้ำจากเขาสันกราากีรี ไหลลงสู่ อำเภอสะเดา อย่างรวดเร็ว แม้สะเดาจะมีอ่างเก็บน้ำสะเดาอยู่ แต่เนื่องจากอ่างเต็มแล้ว ฝนตกเท่าไหร่ก็ไหลล้นออกมาเท่านั้น
ที่เมืองสะเดาซึ่งเป็นต้นทางต้นน้ำใหญ่ น้ำได้ท่วมล้นตลิ่งสูงถึง 3 เมตร 30 เซนติเมตร น้ำจากคลองสะเดาจะใช้เวลาเดินทางถึงหาดใหญ่ประมาณ 6 ชั่วโมง ขณะที่น้ำจากเขาคอหงส์ (นาหม่อม) และคลองหอยโข่งถึงหาดใหญ่ในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง เพราะเป็นพื้นที่สูงชัน เมื่อใกล้เข้าเมืองหาดใหญ่ คลองสะเดาจะเปลี่ยนชื่อเป็น คลองอู่ตะเภา ซึ่งเป็นเส้นคลองเดียวกันที่รับน้ำ 100% จากสะเดา
เมื่อมวลน้ำมาถึงตัวเมืองหาดใหญ่ซึ่งเป็น “แอ่งกระทะ” การระบายน้ำออกสู่ทะเลสาบสงขลามีอุปสรรค หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อ 25 ปีที่แล้ว (น้ำท่วม 2 เมตร) กรมชลประทานได้ขุดคลองระบายน้ำเพิ่มคือ คลอง ร.2 (ขยายคลองเดิม) และต่อมาได้ขุด คลอง ร.1 เพื่อดักน้ำก่อนเข้าตัวเมือง นอกจากนี้ยังมีคลองระบายน้ำจนถึง ร.6
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่สำคัญคือ การขยายตัวของเมือง ทำให้มีการถมพื้นที่ต่ำซึ่งเคยทำหน้าที่เป็น "แก้มลิง" เพื่อดึงและอุ้มน้ำไว้ รวมถึงการทำถนนและหมู่บ้านจัดสรร นอกจากนี้ ปัญหาสำคัญอีกประการคือ จำนวนท่อระบายน้ำท่อลอดถนนส่วนใหญ่ไม่เพียงพอ ซึ่งเกิดจากการตัดลดงบประมาณที่ตั้งไว้แต่เดิม
นายชวลิตชี้ว่า จุดที่หนักที่สุด (จุดพีค) ของสถานการณ์น้ำท่วมได้ ผ่านไปแล้วเมื่อวานนี้ตอนเที่ยง และระดับน้ำเริ่มลดลง ที่หาดใหญ่ อัตราการลดลงอยู่ที่ประมาณ 7 เซนติเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเร็วกว่าที่สะเดาที่ลดลง 5 เซนติเมตรต่อชั่วโมง แต่หลังจากนี้อัตราการลดจะช้าลง เนื่องจากระดับน้ำที่ต่ำลงทำให้แรงที่ไหลออกสู่ทะเลสาบสงขลาลดลง อีกทั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมเป็นช่วงที่ น้ำทะเลหนุนสูงกว่าปกติ ตามธรรมชาติ ทำให้การระบายน้ำออกได้เพียงประมาณ 100 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน แทนที่จะเป็น 300 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน และน้ำทะเลจะหนุนทำให้ระบายไม่ได้วันละ 6 ชั่วโมง
ขณะนี้ปัจจัยที่ 3 คือ หย่อมความกดอากาศต่ำจากมาเลเซียได้ เคลื่อนตัวออกไป ไม่ส่งผลกระทบต่อไทยมากแล้ว ปัจจัยที่เหลืออยู่คือฝนที่นิ่งอยู่บริเวณสงขลาและปัตตานี สิ่งที่จำเป็นเร่งด่วนในขณะนี้คือการช่วยเหลือด้าน อาหารและไฟฟ้า เนื่องจากโทรศัพท์มือถือของประชาชน “แบตเตอรี่หมดแล้ว” ทำให้ไม่สามารถสื่อสารกันได้ การใช้รถทหารคันใหญ่จะสามารถขนคนได้ทีละ 10 ครอบครัว ซึ่งมีประโยชน์มากในการอพยพ
นายชวลิตเน้นย้ำว่า ภาวะโลกร้อน ที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและคาร์บอนไดออกไซด์อย่างต่อเนื่อง จะทำให้ความรุนแรงของภัยพิบัติ "มาก ขึ้น" และ "เกิดบ่อยขึ้น" เหตุการณ์ 3 แรงบวกเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทุก 25 ปีเท่านั้น แต่เกิดขึ้นในปี 2566 และ 2567 ด้วย เพียงแต่ไปเกิดที่ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ไม่ลามมาถึงหาดใหญ่