ทีมกรุ๊ป" เปิดสาเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ “หาดใหญ่”เผชิญ 3 ปัจจัยบวกสุดรุนแรง

26 พ.ย. 2568 | 10:24 น.
อัปเดตล่าสุด :26 พ.ย. 2568 | 10:33 น.

5 วันฝนถล่มใต้ “หาดใหญ่–สงขลา” จมบาดาล หนักสุดในรอบหลายปี TEAMG ชี้ 3 ปัจจัยบวกธรรมชาติซัดพร้อมกัน ทำมวลน้ำไหลทะลักเข้า “แอ่งเมือง” เร็วเกินระบบระบายรับไหว โครงสร้างเมืองถมพื้นที่ต่ำ–ท่อลอดไม่พอซ้ำวิกฤติ แนะรัฐเร่งขุดลอกคลอง ร.1–ร.6 เพิ่มกำลังสูบ และดันอุโมงค์ระบายน้ำ 2 หมื่นล้าน

KEY

POINTS

  • น้ำท่วมครั้งใหญ่เกิดจาก 3 ปัจจัยทางธรรมชาติที่รุนแรงพร้อมกัน คือ ลมหนาวจากจีนผลักมรสุมลงใต้, ภาวะลานินญ่าที่เพิ่มปริมาณฝน และหย่อมความกดอากาศต่ำในมาเลเซียที่ดึงมวลฝนไว้
  • ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง 4-5 วัน ปริมาณน้ำฝนสูงถึง 300-400 มิลลิเมตรต่อวัน ซึ่งรุนแรงกว่าปกติมาก
  • อุปสรรคสำคัญในการระบายน้ำคือลักษณะภูมิประเทศของหาดใหญ่ที่เป็นแอ่งกระทะ ประกอบกับการขยายตัวของเมืองที่ไปถมพื้นที่รับน้ำ และระบบท่อระบายน้ำไม่เพียงพอ
  • ผู้เชี่ยวชาญเสนอมาตรการป้องกันระยะยาวเพื่อรับมือภัยพิบัติที่อาจรุนแรงขึ้น ได้แก่ การขุดลอกคลอง, เพิ่มกำลังการสูบน้ำ และสร้างอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่

นายชวลิต จันทรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEAMG ให้สัมภาษณายการฐานทอล์ค ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะที่อำเภอหาดใหญ่และสงขลา ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้มีความ "หนักกว่าที่เคยเป็นมา" เนื่องจากเกิดจากปัจจัยความรุนแรง 3 ประสาน หรือ 3 แรงบวก

สาเหตุหลัก: 3 แรงบวกจากธรรมชาติ

น้ำท่วมครั้งนี้เกิดจากปริมาณฝนที่ตกหนักมากและต่อเนื่องยาวนานถึง 4–5 วัน โดยมี 3 องค์ประกอบหลักที่เสริมความรุนแรง

  1. ลมหนาวจากประเทศจีนผลักมรสุม ลมหนาวที่มาแรงตั้งแต่ช่วงวันที่ 19-20 ได้ผลักดันมรสุมที่เตรียมจะตกบริเวณชุมพรให้ต่ำลงมา ทำให้เกิดฝนตกจริงที่สุราษฎร์ธานีและตกหนักที่นครศรีธรรมราชจนน้ำท่วมก่อน ก่อนที่ลมหนาวจะยังคงดันต่อไปจนถึงสงขลาและปัตตานี การที่มรสุมท้องถิ่นถูกลมหนาวจากจีนผลักลงมาทำให้สภาพอากาศปั่นป่วนและฝนตกง่ายขึ้น
  2. ภาวะลานินญ่า ในช่วงตั้งแต่พฤศจิกายนถึงมีนาคมเป็นภาวะลานินญ่า ซึ่งหมายถึงฝนมากน้ำมาก เนื่องจากลมที่พัดจากตะวันออกไปตะวันตกมีความแรงกว่าปกติ ลมเหล่านี้ได้พัดเอาความชื้นจากอ่าวไทยเข้ามาเติมในบริเวณที่กำลังมีฝนตกเป็นมรสุมอย่างไม่หยุดหย่อน ความเป็นลานินญ่าทำให้การพัดลมแรงขึ้นและหอบน้ำมาได้มากขึ้นกว่าปกติ
  3. หย่อมความกดอากาศต่ำในมาเลเซีย หย่อมความกดอากาศต่ำนี้เกิดขึ้นที่โกตาบารู ใกล้กับนราธิวาส ซึ่งเป็นเหมือนหย่อมฝนก้อนใหญ่ที่พยายาม "ดึง" ฝนที่ตกตั้งแต่สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราชให้ต่ำลงมา เมื่อมีทั้งลมหนาวดันและหย่อมความกดอากาศต่ำดึง รวมถึงมีน้ำมาเติมมาก ทำให้ฝนตกไม่หยุดและตกเยอะกว่าปกติ

 

ความรุนแรงของฝนในภาคใต้ หากตก 200 มิลลิเมตรต่อวันถือว่าธรรมดา แต่ในเหตุการณ์นี้ปริมาณฝนตกสูงถึง 300–400 มิลลิเมตร และตกต่อเนื่องกันถึง 5 วัน ซึ่งถือว่าหนักเกินปกติและหนักมากสำหรับภาคใต้

เส้นทางน้ำและอุปสรรคการระบาย

น้ำปริมาณมหาศาลจากแหล่งต้นน้ำหลักคือ เขาคอหงส์  และที่สำคัญที่สุดคือ เขาสันกราากีรี ซึ่งเป็นเขาสันปันน้ำ ได้ไหลลงมายังพื้นที่ต่างๆ น้ำจากเขาสันกราากีรี ไหลลงสู่ อำเภอสะเดา อย่างรวดเร็ว แม้สะเดาจะมีอ่างเก็บน้ำสะเดาอยู่ แต่เนื่องจากอ่างเต็มแล้ว ฝนตกเท่าไหร่ก็ไหลล้นออกมาเท่านั้น

ที่เมืองสะเดาซึ่งเป็นต้นทางต้นน้ำใหญ่ น้ำได้ท่วมล้นตลิ่งสูงถึง 3 เมตร 30 เซนติเมตร น้ำจากคลองสะเดาจะใช้เวลาเดินทางถึงหาดใหญ่ประมาณ 6 ชั่วโมง ขณะที่น้ำจากเขาคอหงส์ (นาหม่อม) และคลองหอยโข่งถึงหาดใหญ่ในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง เพราะเป็นพื้นที่สูงชัน เมื่อใกล้เข้าเมืองหาดใหญ่ คลองสะเดาจะเปลี่ยนชื่อเป็น คลองอู่ตะเภา ซึ่งเป็นเส้นคลองเดียวกันที่รับน้ำ 100% จากสะเดา

เมื่อมวลน้ำมาถึงตัวเมืองหาดใหญ่ซึ่งเป็น “แอ่งกระทะ” การระบายน้ำออกสู่ทะเลสาบสงขลามีอุปสรรค หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อ 25 ปีที่แล้ว (น้ำท่วม 2 เมตร) กรมชลประทานได้ขุดคลองระบายน้ำเพิ่มคือ คลอง ร.2 (ขยายคลองเดิม) และต่อมาได้ขุด คลอง ร.1 เพื่อดักน้ำก่อนเข้าตัวเมือง นอกจากนี้ยังมีคลองระบายน้ำจนถึง ร.6

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่สำคัญคือ การขยายตัวของเมือง ทำให้มีการถมพื้นที่ต่ำซึ่งเคยทำหน้าที่เป็น "แก้มลิง" เพื่อดึงและอุ้มน้ำไว้ รวมถึงการทำถนนและหมู่บ้านจัดสรร นอกจากนี้ ปัญหาสำคัญอีกประการคือ จำนวนท่อระบายน้ำท่อลอดถนนส่วนใหญ่ไม่เพียงพอ ซึ่งเกิดจากการตัดลดงบประมาณที่ตั้งไว้แต่เดิม

แผนที่น้ำท่วมอ.หาดใหญ่

สถานการณ์ปัจจุบันและการเยียวยา

นายชวลิตชี้ว่า จุดที่หนักที่สุด (จุดพีค) ของสถานการณ์น้ำท่วมได้ ผ่านไปแล้วเมื่อวานนี้ตอนเที่ยง และระดับน้ำเริ่มลดลง ที่หาดใหญ่ อัตราการลดลงอยู่ที่ประมาณ 7 เซนติเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเร็วกว่าที่สะเดาที่ลดลง 5 เซนติเมตรต่อชั่วโมง แต่หลังจากนี้อัตราการลดจะช้าลง เนื่องจากระดับน้ำที่ต่ำลงทำให้แรงที่ไหลออกสู่ทะเลสาบสงขลาลดลง อีกทั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมเป็นช่วงที่ น้ำทะเลหนุนสูงกว่าปกติ ตามธรรมชาติ ทำให้การระบายน้ำออกได้เพียงประมาณ 100 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน แทนที่จะเป็น 300 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน และน้ำทะเลจะหนุนทำให้ระบายไม่ได้วันละ 6 ชั่วโมง

คาดการณ์ว่า อีก 2 วัน  น้ำจะลงไป "อยู่ในตลิ่ง" แต่ไม่ใช่แห้งหมด

ขณะนี้ปัจจัยที่ 3 คือ หย่อมความกดอากาศต่ำจากมาเลเซียได้ เคลื่อนตัวออกไป ไม่ส่งผลกระทบต่อไทยมากแล้ว ปัจจัยที่เหลืออยู่คือฝนที่นิ่งอยู่บริเวณสงขลาและปัตตานี สิ่งที่จำเป็นเร่งด่วนในขณะนี้คือการช่วยเหลือด้าน อาหารและไฟฟ้า เนื่องจากโทรศัพท์มือถือของประชาชน “แบตเตอรี่หมดแล้ว” ทำให้ไม่สามารถสื่อสารกันได้ การใช้รถทหารคันใหญ่จะสามารถขนคนได้ทีละ 10 ครอบครัว ซึ่งมีประโยชน์มากในการอพยพ

มาตรการป้องกันระยะยาว (เกิดซ้ำบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น)

นายชวลิตเน้นย้ำว่า ภาวะโลกร้อน ที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและคาร์บอนไดออกไซด์อย่างต่อเนื่อง จะทำให้ความรุนแรงของภัยพิบัติ "มาก ขึ้น" และ "เกิดบ่อยขึ้น" เหตุการณ์ 3 แรงบวกเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทุก 25 ปีเท่านั้น แต่เกิดขึ้นในปี 2566 และ 2567 ด้วย เพียงแต่ไปเกิดที่ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ไม่ลามมาถึงหาดใหญ่

มาตรการป้องกันในอนาคตเพื่อแก้ไขปัญหาซ้ำซากและลดความเสียหาย มีดังนี้:

  1. ปรับปรุงและบำรุงรักษาคลองระบายน้ำเร่งด่วน: ต้องใช้เครื่องจักรหนักของกรมชลประทานและทหารมาช่วยกัน ขุดลอก คลองระบายน้ำ ร.1 ถึง ร.6 เพื่อให้ระบายน้ำได้เต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะคลอง ร.1, ร.2 และ ร.3 ซึ่งมีความยาวมาก ปัจจุบันกรมชลประทานได้รับงบประมาณสำหรับขุดลอกคลอง ร.2 แล้ว แต่คลอง ร.1, ร.3, และ ร.4 ยังไม่ได้รับ
  2. เพิ่มกำลังการสูบน้ำ: เนื่องจากในช่วงฤดูมรสุมน้ำทะเลจะหนุนสูง ต้อง เพิ่มกำลังการสูบน้ำ ที่ปากคลอง ร.1 ให้เหมือนกับคลองพระโขนง เพื่อช่วยระบายน้ำออกไปในช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูง
  3. สร้างอุโมงค์ระบายน้ำ: เนื่องจากเมืองยังคงขยายตัว และภาวะโลกร้อนจะไม่หยุดรอใคร จึงจำเป็นต้อง สร้างอุโมงค์ระบายน้ำ ก่อนที่จะลงมาถึงคลอง ร.1 การสร้างอุโมงค์จะช่วยตัดน้ำจากพื้นที่ต้นน้ำ เช่น เขาคอหงส์) ลงสู่ทะเลโดยตรง และอุโมงค์ที่เป็นคอนกรีตจะทำให้น้ำไหลได้แรงและเร็ว โครงการนี้จะต้องขอ งบประมาณไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท และหากรัฐบาลมีความพร้อมด้านงบประมาณ การก่อสร้างสามารถแล้วเสร็จได้ภายใน 5 ปี โดยกรมชลประทานมีความพร้อมในการออกแบบและสำรวจอยู่แล้ว