“นฤมล”ถกปัญหาอาชีวะเอกชน ลุยแก้ข้อจำกัด-หนุนหลักสูตรยืดหยุ่น

16 ต.ค. 2568 | 13:15 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ต.ค. 2568 | 13:22 น.

รมว.ศึกษาธิการ ถกสมาคมอาชีวศึกษาเอกชน มอบ สอศ. เร่งปรับระเบียบ กฎหมายเป็นอุปสรรคบริหารงาน ผลักดันหลักสูตรอาชีวะหลากหลาย สร้างคนมีทักษะฝีมือรองรับเศรษฐกิจยุคใหม่

KEY

POINTS

  • รมว.ศึกษาธิการ ประชุมร่วมกับสมาคมวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชนเพื่อรับฟังปัญหาและหาแนวทางแก้ไข
  • อาชีวะเอกชนเผชิญปัญหาหลัก 3 ด้าน คือ รายได้สถานศึกษาลดลงจากผลกระทบด้านภาษี, จำนวนผู้เรียนน้อยลง และข้อจำกัดด้านหลักสูตรที่ไม่สามารถเปิดสอนได้หลากหลายเท่าภาครัฐ
  • กระทรวงศึกษาธิการเตรียมผลักดันการแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค เพื่อสนับสนุนให้สถาบันอาชีวะเอกชนสามารถจัดหลักสูตรที่ยืดหยุ่นและทันสมัย ตอบโจทย์ตลาดแรงงานได้มากขึ้น

เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2568 ที่ห้องประชุมวชิราวุธ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับ คณะผู้แทน สมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีผู้บริหารจาก สำนักบริหารการอาชีวศึกษาเอกชน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง 

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า การมารับฟังปัญหาจากหน่วยงานและผู้ปฏิบัติงานโดยตรงถือเป็นสิ่งจำเป็น ก่อนที่กระทรวงจะกำหนดนโยบายด้านการศึกษาใด ๆ ออกไป โดยตั้งแต่เข้ามาทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ ศธ. ตนได้ลงพื้นที่พูดคุยและรับฟังความคิดเห็นจากสถานศึกษาในทุกระดับมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แนวนโยบายตอบโจทย์ความต้องการจริงของครู บุคลากร และผู้เรียน

รมว.ศธ. เปิดเผยว่า ขณะนี้มีหลายเรื่องที่ต้องเร่งผลักดันให้สำเร็จ อาทิ 
การแก้ไข พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ เพื่อปรับโครงสร้างและกลไกขับเคลื่อนการศึกษาระดับชาติให้มีประสิทธิภาพ

การส่งเสริม สวัสดิการและสวัสดิภาพครู–บุคลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะปัญหาหนี้สินครู ซึ่งได้มีแนวทางจัดตั้ง “สหกรณ์กลางรวมหนี้ครู” เพื่อปรับโครงสร้างหนี้และให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ

การปรับปรุงหลักเกณฑ์การประเมินเพื่อเลื่อนวิทยฐานะให้เหมาะสมกับภาระงานจริง และการพัฒนา บ้านพักครู–สภาพแวดล้อมในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้บุคลากรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สำหรับการประชุมครั้งนี้ มีการหยิบยกปัญหาหลักของภาคอาชีวศึกษาเอกชนหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่อง รายได้ของสถานศึกษา ที่ได้รับผลกระทบจากการสิ้นสุดระยะเวลามาตรการยกเว้นภาษีเงินบริจาคตาม พระราชกฤษฎีกา (พรก.) ฉบับที่ 768 พ.ศ.2566 ซึ่งให้นิติบุคคลสามารถนำเงินบริจาคให้สถานศึกษาไปลดหย่อนภาษีได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ส่งผลให้สถานประกอบการชะลอการบริจาคและกระทบต่อการดำเนินงานของวิทยาลัยเอกชนจำนวนมาก

อีกทั้งยังมีปัญหา จำนวนผู้เรียนลดลง และ ข้อจำกัดด้านหลักสูตร ซึ่งทำให้สถานศึกษาอาชีวะเอกชนไม่สามารถเปิดการสอนที่หลากหลายเหมือนวิทยาลัยอาชีวะของรัฐ เช่น หลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น หลักสูตรประกาศนียบัตรเฉพาะทาง การเรียนอาชีวะออนไลน์ รวมถึงระบบ ธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผู้เรียนสะสมหน่วยกิตข้ามสถาบัน

ศ.ดร.นฤมล กล่าวเพิ่มเติมว่า “กระทรวงศึกษาธิการพร้อมสนับสนุนการพัฒนาอาชีวศึกษาเอกชนให้มีความคล่องตัวมากขึ้น เพราะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างคนมีฝีมือเข้าสู่ตลาดแรงงาน เราจะช่วยกันผลักดันให้เกิดการแก้ไขระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้วิทยาลัยเอกชนสามารถเปิดหลักสูตรและจัดการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและเทคโนโลยีในปัจจุบัน”

ทั้งนี้ รมว.ศธ. ได้มอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เร่งศึกษาระเบียบและข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรค เพื่อปรับปรุงให้สอดคล้องกับบริบทการศึกษาในศตวรรษที่ 21 จากนั้นจะเสนอเรื่องต่อ คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เพื่อร่วมพิจารณาแนวทางแก้ไขในภาพรวม

“อาชีวะเอกชนเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยสร้างคนให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจ เราต้องร่วมมือกันเพื่อให้ทุกวิทยาลัยสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และร่วมกันผลิต ‘ฝีมือชนคุณภาพ’ ที่ประเทศต้องการ” รมว.ศธ. กล่าวทิ้งท้าย