KEY
POINTS
นางสาวบุปผา เรืองสุด เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยว่า สปส.ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลของผู้ประกันตนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โดยผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และ มาตรา 39 สามารถใช้สิทธิการรักษาได้ทุกโรค ตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยจนสิ้นสุดการรักษาในสถานพยาบาลตามสิทธิ
รวมถึงกรณีผู้ประกันตนที่ป่วยด้วยโรคอ้วนในระดับรุนแรง เป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อน เช่น โรคเบาหวานขั้นรุนแรง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
อีกทั้งยังส่งผลต่อความสามารถในการประกอบอาชีพ ในบางกรณีอาจทำให้ผู้ประกันตนสูญเสียความสามารถในการทำงานได้อย่างถาวร
หากผู้ประกันตนได้รับการดูแล และได้รับการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญซึ่งวินิจฉัยแล้วว่า การรักษามีความจำเป็น และมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ตามเกณฑ์ อยู่ในภาวะอ้วนทุพพลภาพ สามารถยื่นเรื่องใช้สิทธิประกันสังคมเข้ารับการรักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่สถานพยาบาลที่ทำการรักษาสามารถผ่าตัดด้วยการส่องกล้องที่มีแผลผ่าตัดขนาดเล็กทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น และลดภาวะแทรกซ้อน เมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบเปิดแผลใหญ่ อีกทั้งยังสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติอีกด้วย
นางสาวบุปผา กล่าวต่อไปอีกว่า สปส.มีสถานพยาบาลที่ผ่านการประเมินศักยภาพการให้บริการผ่าตัดภาวะอ้วนที่เป็นโรคหรือโรคอ้วนทุพพลภาพ (Morbid Obesity) จำนวน 53 แห่งทั่วประเทศ
อย่างไรก็ดี แนะนำผู้ประกันตนที่ป่วยโรคอ้วนรุนแรง และเข้าเกณฑ์ตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ สามารถแจ้งสิทธิประกันสังคมเพื่อเข้ารับการรักษาได้ที่สถานพยาบาลคู่สัญญาของ สปส.โดยผู้ประกันตนจะต้องเริ่มเข้ารับการดูแลจากแพทย์เฉพาะทางอายุรกรรม ทำการตรวจสุขภาพและคำนวณระดับความอ้วนตามเกณฑ์ BMI ขั้นต้นก่อน ซึ่งแพทย์จะให้คำแนะนำให้ผู้ป่วยทดลองลดน้ำหนักด้วยวิธีทั่วไปก่อน เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย
แต่หากไม่สามารถลดน้ำหนักลงได้ แพทย์จะพิจารณาข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อรักษาภาวะโรคอ้วนรุนแรง โดยผู้ประกันตนสามารถให้สถานพยาบาลตามสิทธิประกันสังคม ส่งต่อไปยังสถานพยาบาลที่สามารถดูแลรักษาโรคอ้วนได้อย่างครบวงจร
"สิทธิการรักษาด้วยการผ่าตัดกระเพาะเพื่อรักษาโรคอ้วน เป็นการรักษาตามความจำเป็น และตามเกณฑ์ข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เท่านั้น"