เตือน 10 จว.ภาคกลางและกทม.เฝ้าระวังระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น

05 ก.ย. 2568 | 07:41 น.
อัปเดตล่าสุด :05 ก.ย. 2568 | 07:48 น.

ปภ.แจ้งเตือน 10 จังหวัดภาคกลางและกทม.เฝ้าระวังระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่วันที่ 5 กันยายนนี้

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในฐานะกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ได้รับแจ้งว่า กรมชลประทานได้คาดการณ์ปริมาณน้ำ 1 - 9 วันข้างหน้า โดยในวันที่ 5 กันยายน 2568 ที่สถานี C.2 อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ จะมีปริมาณน้ำไหลผ่านประมาณ 1,900 - 2,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และคาดการณ์ปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรังและลำน้ำสาขาอีกประมาณ 100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งทำให้ปริมาณน้ำที่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา มีปริมาณระหว่าง 2,000-2,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และรับน้ำเข้าระบบชลประทาน 2 ฝั่ง ในอัตรา 350 - 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

จึงมีความจำเป็นต้องระบายน้ำผ่านท้ายเชื่อนเจ้าพระยา ในอัตราระหว่าง 1,500 - 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งส่งผลให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันอีกประมาณ 0.30 - 1.10 เมตร ในพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำบริเวณคลองโผงเผง จังหวัดอ่างทอง คลองบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา ตำบลลาดชิด ตำบลท่าดินแดง อำเภอผักไห่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (แม่น้ำน้อย)
ปภ.แจ้งเตือน 10 จังหวัดภาคกลางและกทม.เฝ้าระวังระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่วันที่ 5 กันยายนนี้

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) จึงได้ประสาน 10 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่

  1. อุทัยธานี
  2. ชัยนาท
  3. สิงห์บุรี
  4. อ่างทอง
  5. สุพรรณบุรี
  6. พระนครศรีอยุธยา
  7. ลพบุรี
  8. ปทุมธานี
  9. นนทบุรี
  10. สมุทรปราการ  
  11. กรุงเทพมหานคร  

ทั้งนี้ขอเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ พร้อมประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชนที่ประกอบกิจการในแม่น้ำ อาทิ งานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง แพร้านอาหาร ท่าเทียบเรือโดยสารสาธารณะ ตลอดจนประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำและบริเวณจุดเสี่ยงที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำให้เฝ้าระวังระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นและเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำ

รวมถึงเตรียมพร้อมในการขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูงให้พ้นจากแนวน้ำท่วม นอกจากนี้ ยังได้ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ตรวจสอบแนวคันกั้นน้ำและแนวป้องกันน้ำท่วมให้มีความแข็งแรง เพื่อป้องกันระดับน้ำล้นข้ามแนวคันกั้นน้ำ  อีกทั้งจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลด้านสาธารณภัย เพื่อเตรียมความพร้อมปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง