ถ่ายโอนภารกิจ “ผู้บริบาลผู้สูงอายุ” อย่าโยนภาระให้ท้องถิ่น

23 ส.ค. 2568 | 09:27 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ส.ค. 2568 | 09:47 น.

“กนก วงษ์ตระหง่าน”เตือนถ่ายโอนภารกิจดูแลผู้สูงอายุสู่ท้องถิ่น ไม่ใช่เพียง “โยนงาน” แต่ต้องมีงบประมาณ ก.ม.รองรับ ผู้สูงอายุไทย 13 ล้านคน ต้องมีผู้บริบาลกว่า 100,000 คน

KEY

POINTS

  • ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย และขาดแคลนผู้บริบาลผู้สูงอายุอย่างหนัก โดยภาครัฐมีแผนถ่ายโอนภารกิจการดูแลไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
  • อปท. มีความกังวลว่า การถ่ายโอนภารกิจจะเป็นการ "โยนภาระ" จึงเรียกร้องให้มีหลักประกันที่ชัดเจนจากส่วนกลาง เพื่อให้สามารถดูแลผู้สูงอายุได้อย่างมีคุณภาพ
  • ความสำเร็จของการถ่ายโอนภารกิจ ขึ้นอยู่กับการแก้ไขอุปสรรคสำคัญ 5 ประการ ได้แก่ ปัญหาบุคลากร งบประมาณ ระบบบริหารจัดการ มาตรฐานวิชาชีพ และ กฎหมายรองรับ

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีผู้สูงอายุแล้วกว่า 13 ล้านคน หรือเกือบ 20% ของประชากรทั้งประเทศ (ข้อมูลสภาพัฒน์ฯ และกรมกิจการผู้สูงอายุ ปี 2567) กรมกิจการผู้สูงอายุได้เริ่มโครงการสร้าง “ผู้บริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ” ตั้งแต่ปี 2567 โดยมีบุคลากรเพียง 34 คน และตั้งเป้าว่าภายในปีงบประมาณ 2569 จะมีผู้บริบาลกว่า 850 คน ครอบคลุมทุกอำเภอทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการประเมินว่าความต้องการที่แท้จริงอาจสูงถึง 100,000 คน เพื่อรองรับจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองประธานคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้ความเห็นว่า การถ่ายโอนภารกิจด้านการดูแลผู้สูงอายุจากส่วนกลางไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นสิ่งจำเป็น แต่ไม่ควรเป็นเพียงการ “โยนภาระ” โดยไม่มีหลักประกันที่ชัดเจน

“เสียงจากท้องถิ่นชัดเจนว่า พร้อมรับการถ่ายโอน แต่ไม่ต้องการเพียงการโยนงาน ท้องถิ่นต้องการหลักประกันว่า ภารกิจนี้จะเป็นประโยชน์จริงกับประชาชน” ศ.ดร.กนก กล่าว พร้อมย้ำว่า ความสำเร็จของการถ่ายโอนขึ้นอยู่กับการแก้ไขอุปสรรค 5 ประการ ได้แก่

1.บุคลากร – ต้องมีจำนวนเพียงพอและได้รับการฝึกอบรมที่มีมาตรฐาน

2.งบประมาณ – ท้องถิ่นต้องได้รับจัดสรรงบเพียงพอและต่อเนื่อง

3.ระบบบริหารจัดการ – ต้องออกแบบให้มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์พื้นที่จริง

4.มาตรฐานวิชาชีพ – ผู้บริบาลต้องมีคุณสมบัติและมาตรฐานกลาง

5.กฎหมายรองรับ – ต้องปรับปรุงกฎหมายเพื่อสร้างความชัดเจนและมั่นคงในการดำเนินงาน

ศ.ดร.กนก ย้ำว่า การสร้างระบบดูแลผู้สูงอายุอย่างยั่งยืนต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ส่วนกลาง และท้องถิ่น โดยมี “หลักประกัน” ว่าการถ่ายโอนจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุจริง ไม่ใช่การสั่งการแบบขาดการสนับสนุน

ผู้สูงอายุไทย & แผนสร้างผู้บริบาล

สถานการณ์ผู้สูงอายุไทย

ผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ปี 2567 : 13.2 ล้านคน หรือเกือบ 20% ของประชากรไทย

คาดว่า ปี 2573 : จะเพิ่มเป็น 17.5 ล้านคน (ราว 26%)

ไทยก้าวสู่ “สังคมสูงวัยสมบูรณ์” (Aged Society) แล้ว และกำลังจะเข้าสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” (Super-aged Society) ในปี 2578

โครงการผู้บริบาลผู้สูงอายุ

เริ่มต้น ปี 2567 มีผู้บริบาลเพียง 34 คน

แผนปี 2569 : จะเพิ่มเป็น 850 คน ครอบคลุมทุกอำเภอทั่วประเทศ

ความต้องการจริง : ประมาณ 100,000 คน เพื่อรองรับสถานการณ์สูงวัย

หน่วยงานรับผิดชอบ : กรมกิจการผู้สูงอายุ (พม.)

โจทย์ใหญ่ของการถ่ายโอนภารกิจสู่ท้องถิ่น (อปท.)

บุคลากร – จำนวนยังไม่เพียงพอ

งบประมาณ – ท้องถิ่นกังวลเรื่องภาระค่าใช้จ่าย

ระบบบริหารจัดการ – ขาดความต่อเนื่องและบูรณาการ

มาตรฐานวิชาชีพ – ยังไม่มีระบบฝึกอบรม/รับรองวิชาชีพชัดเจน

กฎหมายรองรับ – ต้องแก้ไข/ออกใหม่เพื่อให้มีฐานะทางกฎหมาย