เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เขื่อนที่มิใช่แค่ผลิตไฟฟ้าและกักเก็บน้ำ หากแต่ยังเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนาชุมชน พัฒนาท้องถิ่น ฟื้นฟูภูมิปัญญาชาวบ้าน สร้างงานสร้างรายได้และยังเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวของประเทศ เรียกได้ว่าช่วยยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจชุมชนได้อย่างยั่งยืน วันนี้ "ฐานเศรษฐกิจ"จะพามาทำความรู้จักประวัติความเป็นมาของเขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแม่ของแผ่นดิน
“เขื่อนสิริกิติ์” เขื่อนดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศตั้งอยู่ที่ ต.ผาเลือด อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ สำหรับประวัติความเป็นมาของเขื่อนนี้ ได้สร้างขึ้นตามโครงการพัฒนาลุ่มน้ำน่าน โดยมีชื่อเดิมคือ “เขื่อนผาซ่อม” ต่อมาได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามาภิไธย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขนานนามว่า “เขื่อนสิริกิติ์”
การก่อสร้างเขื่อนสิริกิติ์ได้แบ่งงานออกเป็นสองส่วน คือส่วนตัวเขื่อนและองค์ประกอบ กับส่วนโรงไฟฟ้าและองค์ประกอบ การก่อสร้างตัวเขื่อน และองค์ประกอบ ดำเนินการ โดยกรมชลประทาน งานด้านนี้เป็นการก่อสร้างถนน เข้าหัวงาน ท่าเทียบเรือ งานเปิดหน้าดิน งานก่อสร้าง ตัวเขื่อน อุโมงค์ผันน้ำ อุโมงค์ส่งน้ำลงแม่น้ำ อุโมงค์ส่งน้ำเข้าเครื่องกังหันน้ำ อาคารรับน้ำอุโมงค์ระบายน้ำล้น งานขุดดินและหินบริเวณฐานราก ของโรงไฟฟ้า งานก่อสร้างตัวเขื่อนและองค์ประกอบได้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2511
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จ พระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์เขื่อนสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2514 งานก่อสร้างตัวเขื่อนและองค์ประกอบได้แล้วเสร็จเมื่อปี 2515
การก่อสร้างโรงไฟฟ้าและองค์ประกอบดำเนินการโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย งานด้านนี้ ได้เริ่มตั้งแต่ปี 2511 โดยดำเนินการก่อสร้างสายส่งแรงสูง 115 กิโลโวลต์ ระหว่างอุตรดิตถ์กับเขื่อนสิริกิติ์ ก่อสร้างโรงไฟฟ้าและติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้างานวางท่อเหล็ก นำน้ำเข้าโรงไฟฟ้า และงานก่อสร้างสายส่งแรงสูง 230 กิโลโวลต์ ช่วงเขื่อนสิริกิติ์-พิษณุโลก พร้อมกันนี้ ได้ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าเขื่อนสิริกิติ์ รวม 3 ชุด กำลังผลิตชุดละ 125,000 กิโลวัตต์ รวมกำลังผลิต 375,000 กิโลวัตต์ โรงไฟฟ้าและองค์ประกอบได้แล้วเสร็จ เมื่อปี 2517 "ได้ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ชุดที่ 4 เพิ่มอีก 1 ชุด กำลังผลิต 125,000 กิโลวัตต์ แล้วเสร็จในปี 2538 ทำให้ปัจจุบัน โรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสิริกิติ์มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้ารวม 4 ชุด และมีกำลังผลิตรวม 500,000 กิโลวัตต์ "
ต่อมาในวันที่ 4 มีนาคม 2520 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พร้อมด้วยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อนสิริกิติ์และโรงไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ หลังจากงานก่อสร้างตัวเขื่อน และโรงไฟฟ้า เสร็จเรียบร้อยแล้วกรมชลประทาน ได้มอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย รับผิดชอบในการควบคุมดูแลรักษาเขื่อน
การก่อเกิดของเขื่อนสิริกิติ์ ตลอด 48 ปีที่ผ่านมา นอกจากจะใช้ประโยชน์ด้านชลประทาน และการผลิตไฟฟ้าด้วย “พลังน้ำ” แล้ว เขื่อนแห่งนี้ยังเป็น “พลังชีวิต” ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชทานให้กับบ้านห้วยต้า ซึ่งเป็นหมู่บ้านดั้งเดิมที่อยู่เหนือสุดของ จ.อุตรดิตถ์ ทอผ้าใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มกันมาหลายชั่วอายุคน เพราะในช่วงของการสร้างเขื่อนสิริกิติ์ ชาวบ้านส่วนใหญ่อพยพออก ส่งผลให้การทอผ้าแบบดั้งเดิมเกือบสูญหายไป ต่อมาเมื่อปี 2536 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมชาวห้วยต้าและพระราชทานความช่วยเหลือต่าง ๆ โดยเฉพาะการฟื้นฟูการทอผ้า โดยคัดเลือกราษฎรในหมู่บ้านเข้าไปฝึกฝนที่สวนจิตรลดา พร้อมทั้งสร้างโรงทอผ้าขึ้นในหมู่บ้าน โดยมีครูจากสวนจิตรลดาเป็นผู้ฝึกสอน
พระองค์ท่านพระราชทานลายผ้าทอ “ลูกแก้ว” ให้กับชาวบ้านห้วยต้า จนเมื่อชาวบ้านฝึกฝนจนชำนาญก็ได้มีการทอผ้าส่งเข้าไปในพระราชวัง และพระองค์ท่านพระราชทานเงินให้ มีครั้งที่ทรงเสด็จมารับซื้อผลิตภัณฑ์ด้วยพระองค์เอง ทำให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดี มีกิน มีกำลังใจและพลังในการดำรงชีวิต เป็นการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ ก็ได้เข้ามาสนับสนุน ทำให้ผ้าทอบ้านห้วยต้ากลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ปัจจุบันชาวบ้านห้วยต้าได้สืบสานการทอผ้าอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ เป็นสินค้าต่าง ๆ ได้แก่ ผ้าซิ่นลายลูกแก้ว ผ้าขาวม้าลายลูกแก้ว ผ้าคลุมไหล่ลายลูกแก้ว ถุงย่ามสะพายลายต่าง ๆ และผ้าห่มลายลูกแก้ว
กฟผ. เขื่อนสิริกิติ์ ได้น้อมนำพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการสนับสนุนผ้าทอบ้านห้วยต้า โดยได้มอบเงินลงทุนหมุนเวียนเพื่อใช้ในการจัดซื้อเส้นด้าย อุปกรณ์ทอผ้า เป็นต้น ให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผ้าทอมือบ้านห้วยต้าใต้ รวมถึงช่วยจัดหาตลาดกระจายสินค้า โดยมีการนำสินค้าของกลุ่มไปวางขายในพื้นที่เขื่อนสิริกิติ์ วางขายตามงานขายสินค้าต่าง ๆ ของ กฟผ. ทางออนไลน์ เป็นต้น มีการรับซื้อผ้าทอบ้านห้วยต้ามาเป็นของระลึกของเขื่อนเพื่อมอบให้กับบุคคลภายนอกในวาระต่าง ๆ เพื่อช่วยสืบสานการทอผ้าไม่ให้สูญหายจนกลายเป็นสินค้าชุมชนที่มีชื่อเสียง สร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน
เขื่อนสิริกิติ์ ยังเป็นอีกหนึ่งจุดในการปักหมุดเช็กอินของนักท่องเที่ยว ด้วยวิวลำน้ำน่านและดอกไม้นานาพันธุ์ที่เขื่อนแห่งนี้ได้อนุรักษ์ไว้อย่างดี และสร้างสรรค์ขึ้นใหม่อย่างสวยงามและกลมกลืนกับธรรมชาติ ทำให้มีจุดเช็กอินภายในเขื่อนสิริกิติ์หลาย จุด อาทิ มหัศจรรย์ธารสองสี Unseen ของประเทศไทย หนึ่งปีมีครั้งเดียว ,ซุ้มอุโมงค์ไผ่กว่า 100 ต้น ,งานประติมากรรมทรงคุณค่า ณ สวนสุมาลัย ,สะพานแขวนเฉลิมพระเกียรติบรมราชินีนาถ หรือจะชมพระอาทิตย์ตกดิน ณ สันเขื่อน นอกจากนั้นแล้วยังมีผลิตภัณฑ์ชุมชนที่นอกเหนือจากผ้าทอบ้านห้วยต้า โดยเฉพาะมะม่วงหิมพานต์ที่ดีที่สุดของประเทศไทย
ที่มาข้อมูล-ภาพ