มาตรการภาษีนำเข้าที่กำลังขยายตัวในสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นแรงกระเพื่อมครั้งใหม่ที่ธุรกิจไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เพียงเพราะอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้น แต่เพราะภาษีถูกใช้เป็นกลไกต่อรองทางภูมิรัฐศาสตร์ในระดับที่ท้าทายความสามารถของประเทศเล็กอย่างไทยในการตั้งรับและปรับตัว
วันที่ 5 สิงหาคม 2568 สมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทยจัดเวทีเสวนา “Trump’s Tariffs ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” ณ หอประชุมศุกรีย์ แก้วเจริญ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อชวนคิดและชำแหละผลกระทบเชิงลึกจากหลายนักคิด อาทิ รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร, พิศาล มาณวพัฒน์, รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร, ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล, ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฏ และประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ซึ่งต่างร่วมสะท้อนมุมมองต่อความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะส่งผลต่อทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจไทย
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ในนามนายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย กล่าวเปิดเวทีว่า จุดประสงค์ของงานนี้ไม่ใช่เพียงแค่ถอดรหัสผลกระทบจาก “ภาษีทรัมป์” แต่คือการรวมเสียงของผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยกันวางแนวทางในการกำหนดทิศทางนโยบายเศรษฐกิจไทยในห้วงเวลาที่โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน พร้อมย้ำว่านี่คือการใช้เวทีเศรษฐศาสตร์เพื่อ shaping policy อย่างแท้จริง
ภายใต้กรอบนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ตั้งอัตราภาษีนำเข้าสินค้าหลายประเทศในอัตราที่แตกต่างกัน ไทยได้รับอัตรา “19%” ซึ่งดูเหมือนอยู่ในระดับกลางเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศอาเซียน แต่เบื้องหลังตัวเลขดังกล่าวกลับซ่อนนัยทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจไว้อย่างมหาศาล
รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ระบุว่า อัตราภาษี 19% ที่ไทยได้รับ ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่อุตสาหกรรมไทย “พอใจ” เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แม้จะไม่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขัน แต่ก็ถือว่า “ไม่เสียเปรียบ” อย่างรุนแรง ทว่าภายใต้ความเสมอภาคนั้น ไทยยังต้องเร่งประเมินว่า ได้อะไรและเสียอะไรจากข้อตกลงใหม่นี้ โดยเฉพาะในสินค้าเกษตรและปศุสัตว์
ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ กากถั่วเหลืองและข้าวโพดจากสหรัฐฯ ที่จะเข้ามาแทนแหล่งนำเข้าจากบราซิลหรือประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีต้นทุนที่สูงกว่า ดร.นิพนธ์ชี้ว่า ผลลัพธ์ที่ตามมา คือ อุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ของไทยมีต้นทุนลดลงทันที ทำให้มีความสามารถแข่งขันในตลาดโลกสูงขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคก็จะได้บริโภคอาหารในราคาที่สมเหตุสมผลมากขึ้น
ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของ CPF (เจริญโภคภัณฑ์อาหาร) ให้ข้อมูลว่า ต้นทุนอาหารสัตว์ลดลงอย่างมีนัยยะ โดยเฉพาะข้าวโพดและกากถั่วเหลือง ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 60% ของวัตถุดิบทั้งหมด การที่สามารถนำเข้าจากสหรัฐฯ ได้ในราคาที่ถูกกว่าเดิม และไม่มีผลกระทบจากคาร์บอนฟุตพรินต์ จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ช่วยให้ไทยเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดส่งออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกมุมหนึ่งที่เขายกขึ้นมาอย่างน่าสนใจ คือ “ข้าวโพดอเมริกันไม่เผา” ทำให้ลดภาระคาร์บอนจากต้นทาง ซึ่งช่วยเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ยังคงเป็นข้อกังวลคือ ความไม่ชัดเจนในการนำเข้า “เนื้อหมู” จากสหรัฐฯ ที่อาจปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดง หากไม่สามารถควบคุมมาตรฐานได้ อุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทยซึ่งไม่มีการใช้สารนี้มา 30 ปี อาจได้รับผลกระทบทั้งในด้านความเชื่อมั่นและราคา ตลาดเกษตรกรรายย่อยอาจเป็นฝ่ายที่เสียหายมากที่สุด หากรัฐไม่มีมาตรการรองรับที่ชัดเจน
ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฏ ในฐานะผู้แทนภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ชี้ว่า แม้สินค้าเทคโนโลยีหลักบางประเภท เช่น ฮาร์ดดิสก์ ไดรฟ์ และวงจรรวม จะได้รับอัตราภาษี “0%” แต่การเปลี่ยนแปลงของ supply chain โลก และความคลุมเครือของนโยบายทรัมป์ ยังเป็นตัวแปรที่ธุรกิจไม่อาจมองข้าม เขาเรียกร้องให้รัฐไทยมอง “การลงทุนในเนื้อหา” (content localization) เป็นเรื่องจำเป็น ไม่ใช่ปล่อยให้ชื่อของบริษัทเทคโนโลยีที่มีฐานในไทยยังคงใช้ชื่อฝรั่ง ทั้งที่ผลิตและบริโภคในประเทศไทย
ในมุมมองของนักการทูตอาวุโสอย่าง พิศาล มาณวพัฒน์ การใช้ภาษีของทรัมป์ในรอบนี้ไม่ใช่แค่เพื่อปรับดุลการค้า แต่ถูกใช้เพื่อบีบให้ประเทศต่าง ๆ ยอมรับเงื่อนไขที่สหรัฐฯ ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน การเมือง หรือแม้กระทั่งความร่วมมือในเรื่องความมั่นคง และมองว่า ไทยต้องเร่งเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้รอคอย” ไปสู่ “ผู้กำหนด” โดยเฉพาะการกลับไปพิจารณาการเข้าร่วม CPTPP และเร่งเจรจา FTA ใหม่กับประเทศที่เป็นเป้าหมายการส่งออก
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร สรุปว่าภาษีในยุคทรัมป์ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่คือ “เครื่องต่อรองนโยบายระหว่างประเทศ” หากไทยยังนิ่งเฉยกับกระแสการเจรจา FTA ที่ประเทศเพื่อนบ้านเร่งทำกัน ไทยอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และเสียโอกาสการค้าในระยะยาว พร้อมเน้นย้ำว่า โครงสร้างภาษี ศุลกากร และมาตรการกีดกันต่าง ๆ ควรถูกปฏิรูปแบบบูรณาการ ไม่เช่นนั้น “ไทยอาจจะพ่ายในสงครามที่ไม่มีวันจบ”
ทางรอดไทยไม่ใช่แค่ “เลี่ยงภาษี” แต่ต้อง “ปฏิรูปประเทศ”
แม้งานเสวนาครั้งนี้จะไม่ได้ให้คำตอบเด็ดขาดว่า “ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” แต่ทุกเสียงสะท้อนกลับไปยังจุดเดียวกันว่า ทางรอดของไทยไม่ใช่การเจรจาอัตราภาษีที่ต่ำที่สุด หากแต่คือ การปรับโครงสร้างภายในประเทศให้แข่งขันได้ทั้งในวันนี้และในอนาคต
ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปภาษี การยกระดับขีดความสามารถแรงงาน การส่งเสริมคอนเทนต์ท้องถิ่น การเปิดตลาดใหม่ในแอฟริกา ตะวันออกกลาง หรือการรักษาสมดุลระหว่างเกษตรกรรายย่อยกับภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นพร้อมกัน ไม่ใช่เลือกทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในโลกที่ “ภาษี” คืออาวุธ และ “การค้า” คือสมรภูมิใหม่ ประเทศไทยจำเป็นต้องมี “ยุทธศาสตร์” มากกว่า “ยุทธวิธี” เพื่อไม่ให้เป็นเพียงผู้ถูกกระทบ แต่กลายเป็นผู้กำหนดทิศทางของตนเองอย่างแท้จริง