จากกรณีเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2568 พายุวิภา เข้ามาในประเทศไทย ส่งผลให้ในหลายพื้นที่ในประเทศไทยประสบภัยพิบัติน้ำท่วม จากพายุวิภา กลายเป็นมรสุมพัดผ่านเข้าประเทศไทยนั้น ล่าสุดนายสหรัฐ วงศ์สกุลวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ติดตามสถานการณ์น้ำและพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน “วิภา” และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่ส่งผลให้ห้วงวันที่ 21 ก.ค. 68 – ปัจจุบัน (วันที่ 4 ส.ค. 68)
พายุวิภา ทำให้เกิดอุทกภัยในพื้นที่ 12 จังหวัด ดังนี้
มีผู้เสียชีวิต 8 ราย
อย่างไรก็ตามรายงานล่าสุดเมื่อวันที่ 4 ส.ค. 68 เวลา 06.00 น) ยังคงมีสถานการณ์ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ น่าน เชียงราย สุโขทัย และพิษณุโลก รวม 8 อำเภอ 18 ตำบล 52 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 3,135 ครัวเรือน 11,594 คน โดยสถานการณ์ระดับน้ำในภาพรวมจังหวัดน่าน เชียงราย และสุโขทัย ระดับน้ำลดลงต่อเนื่อง ส่วนจังหวัดพิษณุโลกระดับน้ำเพิ่มขึ้น ในส่วนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ยังคงให้การสนับสนุนเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรกลสาธารณภัยในพื้นที่ 4 จังหวัดที่ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ ได้แก่ น่าน เชียงราย สุโขทัย และพิษณุโลก
เมื่อเร็วๆ นี้ กรมบัญชีกลาง สังกัดกระทรวงการคลัง ได้อนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด 3 จังหวัดชายแดน จังหวัดละ 100 ล้านบาท ได้แก่
พร้อมทั้งขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพิ่มเติมเป็น 100 ล้านบาท เพื่อให้สามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และทันต่อสถานการณ์ เพิ่มเติมจากที่ได้อนุมัติวงเงินให้ผู้ว่าราชการจังหวัดน่านจังหวัดเชียงราย จังหวัดพะเยา จังหวัดลำปางจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดแพร่ ไปแล้วจังหวัดละ 50 ล้านบาทอีกด้วย
ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางได้ขยายวงเงินทดรองราชการ ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 กรณีภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ซึ่งกระทรวงการคลัง ให้กับ 4 จังหวัดแล้วเมื่อวานนี้ (24 ก.ค.68) ได้แก่