วันนี้ (3 สิงหาคม 2568) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์ผลผลิตลำไยในฤดูกาลผลิตปีนี้มีปริมาณค่อนข้างมาก โดยขณะนี้ผลผลิตออกสู่ตลาดแล้วประมาณ 30% และคาดว่าผลผลิตรวมทั้งฤดูกาลจะอยู่ที่ราว 740,000 ตัน โดยจะออกสู่ตลาดมากที่สุดในช่วงเดือนสิงหาคม 2568 คิดเป็นปริมาณประมาณ 400,000 ตัน
รัฐบาลจึงได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์ราคาลำไยอย่างใกล้ชิด เพื่อลดผลกระทบต่อพี่น้องเกษตรกรชาวสวนลำไย
นายอนุกูล กล่าวว่า รัฐบาล โดยกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินโครงการช่วยเหลือด้านการตลาดภายใต้ความร่วมมือกับสมาคมโรงอบลำไยอบแห้งภาคเหนือ เพื่อดึงผลผลิตออกจากตลาดสด ดูแลเกษตรกรชาวสวนลำไย และกำหนดราคาขั้นต่ำเพื่อพยุงราคาลำไย โดยเริ่มดำเนินการรับซื้อตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ถึงวันที่ 20 สิงหาคม 2568
ในรายละเอียด ลำไยรูดร่วงเกรด AA จะรับซื้อไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 13 บาท โดยมีการสนับสนุนค่าบริหารจัดการ 3 บาท/กก. ส่วนเกรด A รับซื้อไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 6 บาท สนับสนุนค่าบริหารจัดการ 2 บาท/กก. ขณะที่โรงร่อน รับซื้อลำไยรูดร่วงเกรด AA อยู่ที่ 12 บาท/กก. และเกรด A ราคา 5 บาท/กก.
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เตรียมเสนอโครงการพัฒนาสวนลำไยคุณภาพ เพื่อสนับสนุนเกษตรกรในการทำลำไยคุณภาพ วงเงินรวม 1,000 ล้านบาท โดยจะสนับสนุนค่าตัดแต่งทรงพุ่ม ตัดแต่งกิ่ง ช่อดอก ไร่ละ 1,000 บาท (ไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน) และค่าปัจจัยการผลิต เช่น วัสดุการเกษตร ไร่ละ 400 บาท ซึ่งจะมีการเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป
รัฐบาลให้ความสำคัญต่อปัญหาเกษตรกรชาวสวนลำไย โดยในระยะเร่งด่วน กระทรวงเกษตรฯ ได้ประสานกับกระทรวงพาณิชย์ สนับสนุนสินเชื่อปลอดดอกเบี้ยแก่ผู้รับซื้อลำไยเพื่อนำไปแปรรูปเป็นลำไยอบแห้ง รวมถึงร่วมกับองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ดึงผลผลิตลำไยออกจากระบบตลาดสด เพื่อลดปริมาณส่วนเกิน พร้อมกับจับมือหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงยุติธรรม และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อช่วยกระจายผลผลิตลำไยถึงมือผู้บริโภคโดยตรง
โดยขอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัด และอำเภอ เร่งช่วยกันประชาสัมพันธ์ว่าตอนนี้ ทั้งโรงอบแปรรูป และโรงร่อน พร้อมที่จะรับซื้อยืนราคานี้ต่อเนื่องไปอีกไม่น้อยกว่า 20 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 - 20 สิงหาคม 2568 ซึ่งพี่น้องชาวสวนไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งเก็บลำไย เพื่อให้คุณภาพสินค้าตรงกับความต้องการของตลาด และขายได้ราคาดีขึ้น