สถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังมีเหตุประทะต่อเนื่อง ท่ามกลางประเทศเผชิญปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน หลายฝ่ายประเมินว่าต้องเร่งจบโดยเร็วเพื่อไม่ให้ กระทบการค้าการส่งออกระหว่างประเทศ
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ นักวิชาการอิสระและ อดีตผู้ตรวจและรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สะท้อนว่า ผลกระทบจากความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชามองว่าเป็นเรื่องศักดิ์ศรีของผู้นำ ที่ต้องเจรจา ในทางกลับกัน ทั้งสองฝ่ายต้องหยุดยิง อย่างไรก็ตามปัญหาความขัดชายแดน ไม่กระทบเศรษฐกิจไทยมากนักแต่หลักๆเป็นเรื่องของกำลังซื้อทำให้เศรษฐกิจไทยไปต่อยาก
ซ้ำร้ายกว่านั้นยังเป็นแรงกดดันเรื่องของภาษีทรัมป์ที่ถูกนำไปผูกโยงจึงเป็นตัวเร่งที่ทั้งสองฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน เพื่อให้ผ่านไปได้ ทั้งการปะทะและภาษีทรัมป์ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดี เพราะทั้งไทยและกัมพูชาต่างพึ่งพาการส่งออกทำให้ทั้วสองฝ่ายต้องคิดเพื่อให้ผ่านไปได้
“สงครามระยะสั้นไม่ยาว ไม่เหมือน สงครามรัศเชียกับยูเครน สงครามตะวันออกกลาง สงครามภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งฝั่งไทยไม่มีความพร้อมเล่นเกมยาว ภาพรวมไม่ควรทำให้แย่ไปกว่านี้เพราะการค้าชายแดนปีละเป็นแสนล้านบาทก็เป็นรายได้ ถ้าได้รายได้น้อยลงจากการค้าขายชายแดนที่ลดลงจะทำให้จีดีพีเราติดลบ และลุกลามพันไปอีกหลายเรื่องโดยเฉพาะ กระทบหนี้ การชำระหุ้นกู้ ผลที่ตามมา ไม่เป็นผลดีต่อสถาบันการเงินการปล่อยกู้ การประเมินเรตติ้ง ต่ำลง ซึ่งก่อนลดเครดิต แต่ถ้ารบอีก จะติดลบเพิ่มขึ้นทันที”
อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจรุ่งเรืองการสู้รบอาจจะลากยาวได้ แต่ เมื่อเศรษฐกิจภายในประเทศและเศรษฐกิจโลกแย่ และเจอภาษีทรัมป์ ทำให้ ทุกอย่างต้องเร่งจบเร็ว หากสู้รบต่อจะเหมือน หยิกเล็บเจ็บเนื้อ ผลกระทบย้อนกลับเจ็บยาว เพื่อไม่ให้กระทบหลายทาง