วันนี้ (24 กรกฎาคม 2568) ที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เเถลงภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ ว่า วันนี้มีการประชุม สมช. นัดพิเศษ เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อเช้านี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญหลายประการ
จึงได้ใช้ระเบียบการประชุมตามกฤษฎีกาเสนอเรื่องให้เป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษด้วย โดยเชิญเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมาร่วมประชุม เนื่องจากหลายเรื่องต้องใช้มติคณะรัฐมนตรีในการรองรับและดำเนินการ
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการปะทะกัน ซึ่งจากรายงานของหน่วยทหารที่เกี่ยวข้องและส่วนราชการของไทย พบว่า เป็นการยิงเข้ามาของทางกัมพูชาก่อน จากนั้นได้เกิดเหตุบานปลายขึ้น จนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน โดยตั้งแต่ช่วงเช้าก็มีการใช้อาวุธในระดับต่าง ๆ กัน โดยเฉพาะกัมพูชาที่ได้ใช้อาวุธหนักยิงเข้ามาในเขตแดนของประเทศโดยไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ยิงเข้ามาในเขตที่เกี่ยวข้องกับพลเรือน จนทำให้มีพลเรือนของไทยเสียชีวิต
โดยจากการรายงานล่าสุดคือ มีผู้เสียชีวิตรวม 11 คน ประกอบด้วย พลเรือน 10 คน และทหาร 1 คน ส่วนผู้บาดเจ็บรวม 28 คน เป็นพลเรือน 24 คน และทหาร 4 คน
"ฝ่ายไทยประณามการใช้อาวุธหนักที่รุนแรงโดยไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนและไม่ได้จำกัดเฉพาะในพื้นที่เขตการต่อสู้ เป็นการยิงเข้ามาและก่อให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรง โดยมีกระสุนบางลูกเข้าไปที่ปั๊มน้ำมันและเซเว่นอีเลฟเว่น บางส่วนถูกยิงหลงเข้าไปในโรงพยาบาล และบางส่วนห่างจากพื้นที่โรงพยาบาล 3 กิโลเมตร ฝ่ายไทยจึงขอประณาม เพราะเป็นการใช้กำลังและการดำเนินการที่ไม่ได้ยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด" นายภูมิธรรม ระบุ
นายภูมิธรรม กล่าวว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นยังไม่ใช่การประกาศสงคราม โดยไทยไม่ได้ประกาศสงคราม แต่เป็นเพียงการปะทะกัน ซึ่งไทยยังยืนยันหลักการว่าต้องใช้สันติวิธี ไม่ใช้ความรุนแรงและต้องพยายามพูดคุยกันในการแก้ไขปัญหา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นลักษณะที่มีการยั่วยุจากทางกัมพูชาตลอด ไทยจึงป้องกันตัวเอง ป้องกันอธิปไตยของประเทศ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ โดยไทยยอมไม่ได้ที่จะให้มีลักษณะการบุกรุกหรือการละเมิดอธิปไตยของประเทศ
ทั้งนี้ยอมรับว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นอย่างน้อย 2 ครั้งติดต่อกันในเขตพื้นที่ที่มีการเดินลาดตระเวนร่วมกันระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชาตามข้อตกลงเดิม แต่สิ่งที่เกิดปัญหาคือเมื่อก่อนไทยเดินตระเวนตลอดเวลาและนี้ไม่เคยมีปัญหา แต่ตอนนี้มีการระเบิดขึ้นและครั้งล่าสุดทำให้ไทยสูญเสียเจ้าหน้าที่ทหารขาขวาขาด ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียใจและเป็นเรื่องที่ไทยจำเป็นต้องแสดงความชัดเจน
รักษาการนายกฯ กล่าวว่า ขณะนี้ไทยได้เตรียมการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ซึ่งกองทัพได้ดำเนินการปกป้องอธิปไตยในพื้นที่อย่างเต็มที่ โดยกองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้รับผิดชอบ และได้ให้อำนาจทหารในการใช้มาตรการต่าง ๆ ตามความจำเป็นโดยพยายามยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากสถานการณ์ฉุกเฉินอาจไม่มีเวลารอขออนุญาต จึงให้ดำเนินการไปตามขอบเขตและขอแจ้งให้ทราบโดยเร็ว
"สถานการณ์เกิดขึ้นในพื้นที่ประมาณ 4 จังหวัดคือ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ ขณะนี้ยังควบคุมสถานการณ์อยู่ในพื้นที่เหล่านี้ แต่มีความระมัดระวังและป้องกันชายแดนเต็มที่ โดยมอบหมายกระทรวงมหาดไทย ได้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่ให้ห่างเกิน 50 กิโลเมตร เพราะถือเป็นระยะที่ปลอดภัยที่สุด รวมทั้งได้สั่งการให้อพยพและดูแลประชาชนในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีแผนดำเนินการที่วางไว้แล้วและดำเนินการอย่างเรียบร้อย"
รักษาการนายกฯ กล่าวอีกว่า ในการประชุมครม.นัดพิเศษวันนี้ ยังได้มีมติให้ช่วยดูแลประชาชนพี่น้องอย่างดีที่สุดเต็มที่ โดยการดูแลเยียวยาผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บทั้งหมด ซึ่งมีกฎระเบียบที่วางไว้อยู่แล้วและได้มอบหมายงานต่าง ๆ ให้ชัดเจน เช่น การปิดโรงเรียนในระยะรัศมีที่ใกล้เคียงกันในบริเวณชายแดนที่เกิดเหตุการณ์ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับเด็กนักเรียน
ส่วนกระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการเปลี่ยนโรงพยาบาลอำเภอในบริเวณชายแดนให้เป็นโรงพยาบาลสนามและอพยพคนไข้ที่บาดเจ็บทั้งหมดกลับไปสู่แนวหลังที่อยู่ในจุดปลอดภัย ขณะที่มาตรการต่างประเทศได้ดำเนินการตั้งแต่เมื่อคืนที่ทราบเหตุการณ์โดยลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต เรียกทูตกัมพูชากลับไปประเทศและส่งทูตไทยกลับประเทศ ซึ่งถือเป็นระดับที่รุนแรงที่สุดในทางการทูตแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในระดับรัฐบาลจะมีการหารือระหว่างสองประเทศไม่ให้เหตุการณ์บานปลายต่อไปหหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตอนนี้ขอให้เรื่องยุติก่อน เพราะเราไม่ได้เป็นผู้เริ่ม ถ้าแสดงความจริงใจต่อกันก็สามารถคุยกันได้ แต่ตอนนี้เรายังรู้สึกว่า ฝ่ายเขาเป็นฝ่ายยั่วยุและริเริ่ม ดังนั้นไทยจึงต้องดำเนินการไปตามสิ่งที่เกิดขึ้น
ส่วนการใช้งบฉุกเฉินเข้ามาดำเนินการนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า มีมาตรการที่มีอยู่แล้วตามกองทุนที่มีอยู่ และวันนี้ไม่ขอพูดเรื่องยุทธการณ์ทางการทหาร ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าสมเด็จฮุนเซน เดินทางออกนอกประเทศไปนั้น รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่ทราบและไม่ได้ติดตามเรื่องตรงนั้น โดยไทยสนใจเรื่องของคนในประเทศและสนใจเหตุการณ์ปะทะกันที่จะเกิดขึ้นและบานปลาย เพื่อคำนึงถึงชีวิตของทหารหาญและคำนึงถึงชีวิตประชาชนของไทยมากกว่า
เมื่อถามว่าทางกัมพูชาได้ส่งหนังสือไปยังสหประชาชาติแล้ว ทางไทยจะมีการดำเนินการอย่างไร รองนายกฯ กล่าวว่า รมว.การต่างประเทศ เมื่อคืนได้คุยกับเลขาธิการสหประชาชาติ และได้คุยกับเลขานุการของสภาความมั่นคงของสหประชาชาติด้วย ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ที่นิวยอร์กได้พูดคุยประสานกันตั้งแต่เมื่อคืน เพื่อให้กระทรวงต่างประเทศได้ใช้มาตรการต่าง ๆ โดยกระทรวงต่างประเทศจะแถลงอีกครั้งหนึ่ง
"ฝ่ายไทยต้องการเรียนว่าไทยไม่ได้ปกปิดอะไร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน ไทยยืนยันโดยหลักการที่จะเกี่ยวข้องกับอธิปไตยของประเทศและการบุกเข้ามาในประเทศไทยว่าไทยปกป้องตัวเองและยืนหลักแน่นในเรื่องนี้ ยืนหลักของกระทรวงต่างประเทศที่พูดมากับรัฐบาลได้แสดงออกไปอย่างชัดเจน แต่หลายเรื่องยังพูดไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านยุทธการ เพราะพูดไปก็ยิ่งทำให้เขารู้และจะเป็นการเผลี่ยงพลำหรือเสียเปรียบด้วยการยุทธการต่าง ๆ"