ปมข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ร้อนระอุและทวีความรุนแรงขึ้น และนำไปสู่การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ระหว่างวันที่ 14-15 มิถุนายน 2568 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา โดยมีนาย“ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย”อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ เป็นผู้นำฝ่ายไทย และนายฬำ เจีย หัวหน้าคณะผู้แทน ฝ่ายกัมพูชา
ความเคลื่อนไหวของทั้งสองฝ่ายถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะท่าทีของรัฐบาลกัมพูชา ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ที่มีอดีตนายกฯ ฮุน เซน คอยหนุนหลัง
พร้อมยืนกรานหนักแน่นว่า “ข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา ต้องขึ้นศาลโลกเท่านั้น ไม่คุยในเวที JBC ในขณะที่ฝ่ายไทย ยืนยันขอเจรจาบนโต๊ะ JBC จึงเป็นภารกิจหนักของคณะJBCไทย ต้องรับมือกับท่าทีแข็งกร้าวของกัมพูชา หลังการประชุมเสร็จสิ้น ทั้งสองฝ่ายไม่สรุปผลการประชุมแต่อย่างใด และมีกำหนดการประชุมร่วมกันอีกครั้งโดยไทยเป็นเจ้าภาพที่กรุงเทพมหานคร วันที่15 เดือนกันยายน 2568 สะท้อนได้ว่าการเจรจายังไม่เป็นผล
ช่วงค่ำของวันเดียวกัน กัมพูชาได้ออกแถลงการณ์การประชุม JBC โดยมีข้อสรุป1ใน4ข้อว่า ยึดแผนที่ฝั่งกัมพูชา มาตรส่วน1:200,000 ขณะที่กระทรวงต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ทันควันว่า การประชุมJBC ครั้งนี้ไม่มีการพูดถึงมาตรส่วน1:200,000 แต่เป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงความคืบหน้าในการจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งมีความยาวทั้งหมดประมาณ 800 กิโลเมตร เพื่อลดความตึงเครียด ทำเอาหลายฝ่ายมองว่าการประชุมครั้งนี้อยู่ในห้องเดียวกันหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ชื่อของนาย “ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย”แม่ทัพใหญ่ในศึกการทูตครั้งนี้ ถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง ท่ามกลางการกระแสขอให้รัฐบาลเปลี่ยนตัว ผู้นำทัพเจรจา เนื่องจากเป็นอดีตทูต ฯขณะเดียวกันยังมีกระแสไลน์หลุด ออกสู่สาธารณะช่วงระหว่างการประชุม JBC ว่า ไทยคงต้องยอมรับแผนที่มาตรส่วน1:200,000 ของกัมพูชา สร้างความไม่สบายใจให้กับประชาชนทั่วไปที่ลุ้นระทึกรอคอยผลของการเจรจาฯ
ทำไมต้องเป็น นาย ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ผู้นำทัพ JBC ฝ่ายไทย คำตอบคือ ท่านเป็น อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ผู้คร่ำหวอดในแวดวงการทูต และถือเป็นหนึ่งในนักการทูตที่ “รู้เขารู้เรา” รับรู้จังหวะก้าวกัมพูชา บนเวทีเจรจาระหว่างประเทศมากที่สุดคนหนึ่งในประเด็นเขตแดนกัมพูชา ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
นาย ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ ดังนี้
ย้อนกลับไปปี 2552 ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาระอุถึงขีดสุด หลังจากทางการกัมพูชาตั้ง นายทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวนายกฯ ฮุนเซน ขณะนั้น นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ จึงเรียกตัว นายประศาสน์ กลับจากกรุงพนมเปญเป็นการตอบโต้ทางการกัมพูชา ที่แต่งตั้ง นายทักษิณ และทางกัมพูชาเอง ก็ได้เรียกเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยกลับ เพื่อเป็นการตอบโต้เช่นเดียวกัน ก่อนที่นายทักษิณ ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาดังกล่าวแต่ในปี 2553 หลังสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย นายประศาสน์ก็ถูกส่งกลับไปรับตำแหน่งทูต ณ พนมเปญอีกครั้ง เพื่อสานสัมพันธ์และฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต
นอกจากนี้ เขายังมีบทบาทสำคัญในการยื่นหนังสือขออภัยโทษให้แก่นายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ที่ถูกจับข้อหาล่วงล้ำแดนและจารกรรมในกัมพูชา แต่คำขอถูกปฏิเสธตามกฎหมายท้องถิ่น ที่กำหนดให้ต้องรับโทษอย่างน้อย 2 ใน 3 ก่อนจึงจะขออภัยโทษได้
นอกจากประสบการณ์ทางการทูตแล้ว นายประศาสน์ ยังมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการรับมือกับปมปัญหาเขตแดนที่ซับซ้อน และการเจรจาที่ยืดเยื้อมาเป็นสิบปี แต่ก็มีทั้งเสียงสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศ และเสียงคัดค้านจาก ฝ่ายเครือข่ายนักเคลื่อนไหว เช่น วีระ สมความคิด ซึ่งตั้งคำถามว่า ท่าทีของนายประศาสน์ที่ยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 แบบกัมพูชา ซึ่งขัดแย้งกับแผนที่ 1:50,000 ที่ทางไทยยึด ทำให้ตั้งข้อกังขาว่าคนที่มีจุดยืนแบบนี้ได้รับมอบหมายให้มาทำหน้าที่นี้ได้อย่างไร
สำหรับคณะกรรมาธิการ JBC ฝ่ายไทย ที่จะร่วมประชุม ณ กรุงพนมเปญ วันที่ 14 มิ.ย. 2568 ประกอบด้วยบุคคลสำคัญจากหลายหน่วยงาน เช่น
รวมถึงฝ่ายเลขานุการจากกรมสนธิสัญญาฯ และล่าสุดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่าได้มีการแต่งตั้ง พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผบ.ทสส. เป็น “ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ” นี้ด้วย
ต้องจับตาว่า ท่าทีของทั้งสองฝ่าย หลังจบการเจรจา JBC และเลือกเดินคนละเส้นทาง!!!