ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ณ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568 กลับมาระอุอีกครั้ง หลังรัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า จะไม่เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่นัดหารือกันในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ พร้อมแสดงท่าทีแน่วแน่ เตรียมนำข้อพิพาทพื้นที่ชายแดน 4 แห่งไปร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งสะท้อนความซับซ้อนของประเด็นเขตแดนที่ยังไร้ข้อยุติ และมีนัยสำคัญต่อความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้ง 4 พื้นที่ที่กัมพูชาระบุเป็นข้อพิพาท ได้แก่ “ช่องบก” หรือที่รู้จักในชื่อ “สามเหลี่ยมมรกต” ในจังหวัดอุบลราชธานี และกลุ่มปราสาทโบราณ 3 แห่งในจังหวัดสุรินทร์ ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ซึ่งแต่ละจุดต่างมีประวัติศาสตร์ยาวนาน แฝงด้วยมูลค่าทางวัฒนธรรม โบราณคดี และยุทธศาสตร์ในระดับภูมิรัฐศาสตร์
กรณี “ช่องบก” หรือ “Emerald Triangle” คือพื้นที่รอยต่อระหว่างไทย กัมพูชา และลาว ครอบคลุมราว 12 ตารางกิโลเมตร ในฝั่งไทยอยู่ในเขต ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี พื้นที่นี้ยังไม่มีการปักปันเขตแดนอย่างชัดเจน และเคยถูกยกเป็นจุดยุทธศาสตร์ร่วมมือด้านการท่องเที่ยว แต่ล่าสุดกลับเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชาเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังทหารกัมพูชาขุดคูความยาวกว่า 650 เมตร เพื่อตั้งจุดตรึงกำลังใกล้แนวชายแดน ซึ่งฝ่ายไทยมองว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงตามบันทึกความเข้าใจปี 2543 (MOU 2543) แม้เหตุการณ์จะยุติลงภายใน 10 นาที โดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ แต่ได้จุดประกายความเปราะบางของพื้นที่ที่อาจบานปลายได้เสมอ
สำหรับอีก 3 จุดคือกลุ่ม “ปราสาทตาเมือน” ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาพนมดงรัก จ.สุรินทร์ เริ่มจาก “ปราสาทตาเมือนธม” ซึ่งเป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16 เคยเป็นศาสนสถานสำคัญในยุคนครวัด ปัจจุบันอยู่ในเขต ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ปราสาทแห่งนี้มีองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมแบบเขมรโบราณและอยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียงไม่กี่ร้อยเมตร เป็นหนึ่งในจุดที่เคยมีข้อพิพาทมาก่อนหน้า แต่ยังไม่มีการตกลงเขตแดนอย่างชัดเจนระหว่างทั้งสองประเทศ
ถัดมา “ปราสาทตาเมือนโต๊ด” อยู่ห่างจากตาเมือนธมไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 750 เมตร เป็นอาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ก่อสร้างด้วยศิลาแลงและหินทราย สันนิษฐานว่าเป็นอโรคยาศาลหรือสถานพยาบาลในยุคนั้น ถูกจัดอยู่ในเครือข่ายโบราณสถานยุคนครวัด ที่มีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชา
ส่วน “ปราสาทตาควาย” หรือ “ปราสาทกรอเบย” ตั้งอยู่ในพื้นที่ช่องตาควาย ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ อยู่ห่างจากกลุ่มปราสาทตาเมือนราว 12 กิโลเมตร ปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทจตุรมุขก่อด้วยศิลาแลง หันหน้าไปทางทิศตะวันออก สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงปลายสมัยนครวัด และตั้งอยู่ใกล้หน้าผาสูงกว่า 10 เมตร ซึ่งส่งผลให้พื้นที่โดยรอบมีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศและการตรวจสอบการเคลื่อนไหวบริเวณชายแดน
การที่กัมพูชาเลือกไม่เข้าร่วมเจรจา JBC ในครั้งนี้ และหันไปใช้ช่องทางทางกฎหมายระหว่างประเทศ แทนที่จะเจรจาแบบทวิภาคี ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนทั้งในแง่การทูต ความมั่นคงชายแดน และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์จากหลายทิศทาง
ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยยังยึดหลักเจรจาอย่างสันติภายใต้กรอบ MOU ปี 2543 ที่ลงนามร่วมกัน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน และรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ อย่างไรก็ตาม การละเมิดในลักษณะใดก็ตาม จะต้องได้รับการตอบสนองที่เหมาะสมตามหลักสากล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุปะทะซ้ำซ้อนซึ่งอาจบานปลายเกินควบคุม