สถานการณ์บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างทหารไทยและกัมพูชาที่เกิดขึ้น สร้างความกังวลให้กับประชาชนไทยอย่างมาก แม้ทั้งสองฝ่ายจะเน้นย้ำถึงการใช้สันติวิธี และความร่วมมือผ่านการเจรจาทวิภาคี
อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์เลวร้ายจนถึงขั้นต้องเกิดการสู้รบกันในระดับที่เรียกว่าสงคราม ชายไทยที่ไม่ได้เป็นทหารแต่มีสถานะเป็นกำลังพลสำรองก็มีโอกาสที่จะถูกเรียกตัว เพื่อเตรียมความพร้อมในสถานการณ์ต่างที่อาจจะเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของ “ฐานเศรษฐกิจ” พบว่า ระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการเรียกกำลังพลสำรองเข้ารับราชการทหาร พ.ศ. 2560 และ ข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยกิจการกำลังพลสำรอง พ.ศ. 2559 สามารถสรุปข้อมูลการเรียกกำลังพลสำรองได้ ประกอบด้วย
เมื่อมีเหตุการณ์สงครามหรือความไม่สงบเกิดขึ้น กระทรวงกลาโหม มีอำนาจในการออกคำสั่ง ระดมพล เพื่อเสริม กำลังพลประจำการ โดยจะดำเนินการเรียกพลกำลังพลสำรองตามขั้นตอน ดังนี้
สำหรับทหารกองหนุน ที่ปลดจาก ทหารเกณฑ์ (หรือเรียกว่า ทหารกองหนุนประเภทที่ 1) จะมีการจัดลำดับตามอายุ ดังนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องระดมพลเต็มรูปแบบ กองทัพจะพิจารณาจาก
กำลังพลสำรอง หรือที่เรียกกันว่า ทหารกองหนุน คือ ผู้ที่เคยผ่านการเป็นทหารแล้ว แต่ปลดประจำการกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย
กำลังพลสำรอง ไม่ว่าจะเป็น ทหารเกณฑ์ปลดประจำการ หรือ นักศึกษาวิชาทหาร (ร.ด.) ต่างถือเป็นส่วนสำคัญในการเสริม กองทัพไทย และมีโอกาสถูกเรียกตัวหากประเทศต้องเผชิญ ภัยคุกคามทางความมั่นคง หรือสงคราม ดังนั้นผู้ที่อยู่ในสถานะนี้ควรรู้สิทธิ หน้าที่ และเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ หากวันหนึ่งต้องกลับไปปฏิบัติภารกิจเพื่อชาติอีกครั้ง