LGBTQ+ กับพลังเศรษฐกิจไม่อาจมองข้าม “ตลาดสีรุ้ง” โอกาสธุรกิจไทย

28 พ.ค. 2568 | 09:32 น.
อัปเดตล่าสุด :28 พ.ค. 2568 | 09:32 น.

ในยุคที่ “ความหลากหลาย” กลายเป็นหนึ่งในกุญแจสู่ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ ตลาดผู้บริโภค LGBTQ+ หรือ “ตลาดสีรุ้ง” กำลังกลายเป็นพลังเงียบที่ทรงอิทธิพลระดับโลก แต่ธุรกิจไทยเข้าใจโอกาสนี้มากน้อยแค่ไหน?

หลายประเทศเร่งลงทุนในตลาด LGBTQ+ ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลระดับล้านล้านดอลลาร์  “Pink Economy” หรือ เศรษฐกิจสีชมพู กำลังกลายเป็นหนึ่งในโอกาสใหม่ที่สำคัญสำหรับเศรษฐกิจในอนาคต ตอนที่ 1 ของซีรีส์พิเศษ “PRIDE ECONOMY: เศรษฐกิจสีรุ้งกับโอกาสธุรกิจไทย” จะพาไปทำความเข้าใจบทบาทของความหลากหลายทางเพศในระบบเศรษฐกิจ การบริโภค และแนวโน้มที่ภาคธุรกิจไทยควรจับตา

ทุกเดือนมิถุนายน โลกเฉลิมฉลอง Pride Month เพื่อส่งเสียงแทนสิทธิและความเท่าเทียมของผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) เรามักเห็นสีรุ้งประดับอยู่ทั่วป้ายโฆษณาและแคมเปญของแบรนด์ดังระดับโลก แต่เบื้องหลังภาพเหล่านี้ ยังมีเรื่องราวที่ทรงพลังและถูกพูดถึงน้อยเกินไป นั่นคือ "พลังทางเศรษฐกิจ" ของกลุ่ม LGBTQ+ ที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกธุรกิจในศตวรรษนี้

ในอดีต การพูดถึงความหลากหลายทางเพศอาจจำกัดอยู่ในกรอบของสิทธิมนุษยชน แต่ปัจจุบัน สิทธิ ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วมของกลุ่ม LGBTQ+ ได้กลายเป็น “ปัจจัยเชิงกลยุทธ์” ทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเมื่อผู้บริโภครุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่เปิดกว้างและเคารพในความแตกต่าง

นักเศรษฐศาสตร์ใช้คำว่า “เศรษฐกิจสีชมพู” หรือ “Pink Economy” เพื่ออธิบายถึงพลังการจับจ่ายของกลุ่ม LGBTQ+ ซึ่งแม้จะเป็นเพียง 5–10% ของประชากรโลก แต่กลับมีอัตราการใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่าค่าเฉลี่ย และมักเลือกสนับสนุนแบรนด์ที่ยืนหยัดเคียงข้างความหลากหลายทางเพศ

รายงานจาก Boston Consulting Group (BCG) ระบุว่า กลุ่ม LGBTQ+ ทั่วโลกมี กำลังซื้อรวมมากกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ทั้งจากจำนวนประชากร รายได้เฉลี่ยที่สูงขึ้น และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ภักดีต่อแบรนด์ที่มีจุดยืนด้านความเท่าเทียม

ในสหรัฐอเมริกา กลุ่ม LGBTQ+ มี อำนาจซื้อรวมกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ และเป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายที่ธุรกิจจำนวนมากให้ความสำคัญอย่างจริงจัง บริษัทชั้นนำอย่าง Apple, Nike, Starbucks, IKEA และแบรนด์หรูจำนวนมาก ได้ปรับนโยบายและกลยุทธ์การตลาดให้ Inclusive ตั้งแต่ระดับองค์กรจนถึงแคมเปญสื่อสารเฉพาะกลุ่ม

ข้อมูลจากงานวิจัยของ Nielsen และ GLAAD ชี้ว่า 71% ของผู้บริโภค LGBTQ+ เลือกสนับสนุนแบรนด์ที่มีจุดยืนเพื่อความเท่าเทียม และมากกว่า 50% พร้อมจะบอยคอตแบรนด์ที่มีท่าทีเลือกปฏิบัติหรือเหยียดหยาม ซึ่งหมายความว่าการตลาดที่จริงใจและเคารพความหลากหลาย ไม่ใช่แค่ดีต่อภาพลักษณ์ แต่ส่งผลโดยตรงต่อยอดขายและความยั่งยืนของธุรกิจ

ไม่เพียงเท่านั้น งานศึกษาจาก McKinsey & Company ปี 2020 ยังพบว่า บริษัทที่มีความหลากหลายทางเพศและเพศสภาพในทีมบริหาร มีโอกาสทำกำไรมากกว่าคู่แข่งถึง 25–35% เนื่องจากความหลากหลายช่วยส่งเสริมนวัตกรรม ความเข้าใจลูกค้า และวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ในระดับประเทศ หลายรัฐบาลเริ่มบูรณาการความหลากหลายทางเพศเข้าไว้ใน กลยุทธ์ทางเศรษฐกิจ อย่างจริงจัง เช่น แคนาดา และ สเปน พัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับ LGBTQ+ จนสามารถสร้างรายได้หลายหมื่นล้านบาทต่อปี

บริษัทระดับโลกอย่าง Apple, Google, Unilever และ Coca-Cola ล้วนมีแคมเปญการตลาดเพื่อเข้าถึงกลุ่ม LGBTQ+ พร้อมนโยบายภายในที่ชัดเจนว่าเป็น LGBTQ+ friendly

แม้ในประเทศไทยจะเริ่มเห็นแบรนด์บางแห่งจัดแคมเปญช่วง Pride Month แต่ภาพรวมยังขาดความต่อเนื่องและความเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง หลายองค์กรยังมอง LGBTQ+ เป็นเพียง “โอกาสทางการตลาดชั่วคราว” มากกว่าจะเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ควรได้รับการตอบสนองอย่างแท้จริง

ตลาด LGBTQ+ วันนี้ ไม่ใช่แค่ "กลุ่มเฉพาะ" แต่คือพลังผู้บริโภคที่มีศักยภาพสูง และอาจกลายเป็น “หัวใจ” ของเศรษฐกิจใหม่ในอนาคต ประเทศที่ปรับตัวได้ไว เข้าใจผู้บริโภคหลากหลาย และกล้าแสดงจุดยืนอย่างจริงใจ จะสามารถเชื่อมโยงกับผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างลึกซึ้ง จริงใจ และเติบโตได้อย่างยั่งยืนในเศรษฐกิจยุคใหม่

ติดตาม ตอนที่ 2 ของซีรีส์ PRIDE ECONOMY ที่เราจะพาไปสำรวจ เรื่องราวของความหลากหลายที่ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่คือการขับเคลื่อนเพื่อความเท่าเทียม ความเข้าใจ และอนาคตร่วมกันของสังคมไทย