เปิดปมฉาว "รัฐสภาใหม่" 5 ปี กลืนงบ 2.3 หมื่นล้าน บทเรียนราคาแพง

09 พ.ค. 2568 | 03:20 น.

เปิดประเด็นอื้อฉาวรัฐสภาใหม่ที่ประชาชนจ่าย งบ 23,000 ล้านใน 5 ปี ข้อบกพร่องความปลอดภัย 191 จุด น้ำรั่วทั่วอาคาร การขยายสัญญาที่ไม่มีวันจบ บทเรียนราคาแพงการบริหารโครงการรัฐ

อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ชิ้นงานสถาปัตยกรรมที่ควรเป็นความภาคภูมิใจของชาติ กลับกลายเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความล้มเหลวในการบริหารจัดการโครงการสาธารณะอย่างจับต้องได้ ตลอดระยะเวลาการก่อสร้างที่ยืดเยื้อมากว่า 11 ปี โครงการดังกล่าวได้สะสมประเด็นฉาวไว้อย่างหนาแน่น ทั้งการบานปลายของงบประมาณ ปัญหาด้านความปลอดภัย และการบริหารจัดการที่ขาดประสิทธิภาพ

เรื่องราวเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2541 เมื่อรัฐบาลมีมติอนุมัติโครงการก่อสร้างเป็นครั้งแรก แต่กว่าจะมีการเคลื่อนไหวอย่างเป็นรูปธรรม ต้องรอไปถึงปี 2551 ที่มีการประกวดแบบและได้ผู้ชนะ “กลุ่มสงบ๑๐๕๑” ในปี 2554 คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณก่อสร้างในวงเงิน 15,324.9 ล้านบาท

แต่หลังการประกวดราคาในปี 2556 ราคากลับลดลงเหลือ 12,280 ล้านบาท โดยความจริงแล้ว การก่อสร้างที่เริ่มต้นในปีเดียวกันภายใต้การทำงานของบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC กลับกลายเป็นฝันร้ายทางการเงินของชาติ

ใช้งบอย่างไม่มีจุดจบ

สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือการพุ่งสูงขึ้นของงบประมาณจนกลายเป็นตัวเลขที่น่าสะพรึงกลัว ที่เริ่มต้นด้วยงบ 12,280 ล้านบาท กลับขยายออกไปจนถึง 22,987 ล้านบาท หลังจากการก่อสร้างเสร็จสิ้น ซ้ำร้ายในปีงบประมาณ 2569 ยังมีการขอเงินเพิ่มเติมอีก 2,800 ล้าน
บาทเพื่อปรับปรุงอาคาร การขยายสัญญากลายเป็นเรื่องธรรมดา โดยมีการขยายถึง 4 ครั้ง รวมเวลาเพิ่มขึ้นกว่า 1,864 วัน หรือเกือบ 5 ปีเต็ม ก่อนที่ STEC จะพยายามขยายครั้งที่ 5 แต่ถูกปฏิเสธพร้อมถูกตัดค่าปรับวันละ 12 ล้านบาท

สงครามกฎหมายพันล้าน

การขัดแย้งระหว่าง STEC กับรัฐบาลกลายเป็นคดีความมูลค่ามหาศาล เมื่อบริษัทฟ้องเรียกค่าเสียหาย 1,590 ล้านบาท แม้ศาลปกครองกลางจะมีคำพิพากษา “ยกฟ้อง” ในเดือนกันยายน 2567 แต่คดีความนี้เป็นเพียงตัวอย่างความขัดแย้งที่มีมูลค่าความเสียหายรวมหลายพันล้านบาท สะท้อนถึงการขาดการกำกับดูแลที่เข้มงวดในการบริหารโครงการ

ความงามซ่อนความเสี่ยงภัย

สิ่งที่น่าตกใจไม่แพ้งบประมาณที่บานปลายคือปัญหาด้านความปลอดภัย ตามการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญ พบข้อบกพร่องถึง 191 รายการใน 8 หมวด โดยหลายรายการนั้นอยู่ในระดับ “อันตรายร้ายแรง” การใช้วัสดุในบันไดหนีไฟที่อาจติดไฟได้ง่าย การปิดประตูบันไดหนีไฟหลายจุด ล้วนกลายเป็นกับระเบิดเวลาที่อาจคร่าชีวิตผู้ใช้อาคารได้ หากเกิดเหตุฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาน้ำรั่วซึมทั่วอาคาร ซึ่งนอกจากจะสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างแล้ว ยังอาจเป็นอันตรายขณะน้ำไหลผ่านระบบไฟฟ้า

ปมสิ่งแวดล้อมเพียบ

แม้จะมีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามระเบียบ แต่การก่อสร้างกลับละเลยมาตรการป้องกันและแก้ไขอย่างเคร่งครัด ผลกระทบต่อระบบนิเวศริมแม่น้ำเจ้าพระยา การรุกล้ำพื้นที่สีเขียว และการบำบัดน้ำเสียที่ไม่ได้มาตรฐาน กลายเป็นราคาที่สังคมต้องจ่ายอย่างยาวนาน

งบออกแบบที่จอดรถ104ล้าน

หากคิดว่าข้างต้นเป็นเรื่องที่ฟังยากพอ ราคาที่ออกแบบที่จอดรถ 104.5 ล้านบาทที่ฝ่ายค้านเปิดโปงคงทำให้คุณงงงวยยิ่งกว่า เมื่อยอดนี้สูงกว่าค่าก่อสร้างที่จอดรถทั้งอาคารในหลายๆ โครงการของรัฐ การตั้งงบประมาณที่สูงเกินเหตุผลดังกล่าวเป็นธงแดงสำหรับความโปร่งใสและการติดตามตรวจสอบ

การใช้จ่ายที่ไร้หลักเกณฑ์

เมื่อเปิดใช้งานได้ไม่นาน อาคารรัฐสภากลับต้องการงบประมาณเพิ่มเติม 2,800 ล้านบาทอีกครั้ง อาทิ การปรับปรุงห้องประชุมงบประมาณ 118 ล้านบาท ทั้งที่ห้องดังกล่าวใช้งานได้ปกติ หรือการออกแบบฉากหลังบัลลังก์ประธานสภา 133 ล้านบาท ซึ่งดูเป็นเพียงการตกแต่งที่ฟุ่มเฟือยมากกว่าการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของการประชุม

บทเรียนที่ราคาแพง

อาคารรัฐสภาแห่งใหม่กลายเป็นตัวอย่างคลาสสิกของการบริหารจัดการโครงการภาครัฐที่ล้มเหลว การขาดการตรวจสอบที่เข้มงวด การใช้งบประมาณอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และการละเลยด้านความปลอดภัย สะท้อนถึงปัญหาระบบการบริหารราชการที่ต้องการการปฏิรูปอย่างจริงจัง

ในขณะที่ประชาชนต้องแบกรับภาระภาษีเพื่อชดเชยความล้มเหลวเหล่านี้ คำถามสำคัญที่เราควรตั้งคือ เราจะป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ซ้ำรอยในโครงการต่อไปได้อย่างไร? คำตอบอยู่ที่การสร้างระบบตรวจสอบและถ่วงดุลที่มีประสิทธิภาพ การบังคับใช้กฎระเบียบอย่างเข้มงวด และการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้งบประมาณสาธารณะ

รัฐสภาแห่งใหม่จึงไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ของความล้มเหลวทางการเงิน แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจว่า เงินภาษีประชาชนควรถูกใช้อย่างโปร่งใส รับผิดชอบ และมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าที่แท้จริงเท่านั้น บทเรียนจากรัฐสภาแห่งใหม่นี้ควรกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิรูปการบริหารงานภาครัฐให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต