ในขณะที่รัฐบาลพยายามหารายได้จากทุกช่องทางเพื่อเข้าคลัง กลับมีเศรษฐกิจนอกระบบขนาดมหึมาที่หมุนเวียนเงินนับหมื่นล้านบาทต่อปี โดยไม่เคยปรากฏในงบประมาณแผ่นดินหรือระบบภาษีใดๆ - นั่นคือ "ส่วยพนัน" หนึ่งในเครือข่ายธุรกิจใต้ดินที่ทรงพลังที่สุดในประเทศไทย
จากการสืบสวนพบว่า ธุรกิจการพนันผิดกฎหมายในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 1.1 ล้านล้านบาท ก่อให้เกิด "ระบบส่วย" ที่มีมูลค่าราว 8 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยเงินจำนวนมหาศาลนี้ไม่เคยเข้าสู่ระบบการจัดเก็บภาษีหรือตรวจสอบตามกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น
ข้อมูลจากโพสต์ทูเดย์ อ้างอิงเอกสารลับภายในระบุว่า โครงสร้างการจ่ายส่วยในไทย แบ่งได้ 2 กลุ่มหลัก
1. บ่อนภาคพื้นดิน:
2. พนันออนไลน์:
รวมทั้งหมดของส่วยรวมต่อปี: 45,000-78,000 ล้านบาท/ปี
ข้อมูลจากโพสต์ทูเดย์ ระบุด้วยว่า เงินเหล่านี้ไม่เข้าคลัง ไม่ถูกตรวจสอบ ไม่สามารถตรวจสอบย้อนหลัง และ ไม่สามารถฟ้องร้องผู้รับได้ในทางกฎหมาย
จากการรวบรวมข้อมูลของทีมข่าวเชิงสืบสวน พบเส้นทางการจ่ายส่วยแบ่งเป็น 3 ชั้นสำคัญ
1.เจ้าของบ่อน/เว็บ → จ่ายตรงให้ “พี่ใหญ่” หรือกลุ่มคุ้มกันในพื้นที่
2.เครือข่ายเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ → ตำรวจ-ฝ่ายปกครอง-บางส่วนในฝ่ายปกครองส่วนท้องถิ่น
3.ส่งต่อส่วนแบ่งสู่ระดับบน → โดยเฉพาะในพื้นที่บ่อนขนาดใหญ่หรือเว็บรายใหญ่ ที่อาจมีสายตรงไปถึงนักการเมือง-ข้าราชการระดับสูง
“ยิ่งบ่อนใหญ่ ยิ่งอยู่ในเมือง ยิ่งต้องจ่ายมาก เพราะการคุ้มกันแพง” — แหล่งข่าวในวงการให้ข้อมูล
คำถามใหญ่ที่สังคมตั้งคือ ทำไมรัฐจึงปล่อยให้เงินมหาศาลไหลไปในระบบส่วย ทั้งที่ สามารถเก็บภาษีได้ปีละ 2.2 แสนล้านบาท ปราบปรามได้หากต้องการจะทำ ที่สำคัญสามารถควบคุมความเสียหายทางสังคมได้
แต่นักวิเคราะห์ชี้ว่า ปรากฏการณ์ “Policy Inertia” หรือภาวะที่รัฐไม่กล้าเปลี่ยนแปลงระบบ เกิดจากการที่บางคน มีส่วนได้เสียกับสภาพที่เป็นอยู่
เมื่อส่วยไม่ใช่แค่เรื่องเงิน…แต่คืออำนาจ เงินจากส่วยจำนวนหลายหมื่นล้านบาทต่อปี กลายเป็นแหล่งทุนการเมือง ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ ใช้เลี้ยงเครือข่าย ใช้ซื้ออำนาจต่อรอง และอาจถูกนำกลับมาใช้ในการเลือกตั้ง
“ระบบนี้ซับซ้อนเกินจะล้มได้ ถ้าไม่ตัดอำนาจของคนที่คุ้มกันมันอยู่” — ข้อสรุปจากอดีตนายตำรวจระดับสูง
ที่มาข้อมูล โพสต์ทูเดย์