ห่วงผู้สูงวัยไร้แผนบั้นปลาย ชี้ต้องเรียนรู้การตายอย่างมีระบบ

16 เม.ย. 2568 | 07:16 น.
อัปเดตล่าสุด :16 เม.ย. 2568 | 07:28 น.

“ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร” ห่วงผู้สูงวัยไร้แผนบั้นปลายชีวิต อาจกลายเป็นภาระทั้งต่อตัวเองและลูกหลาน ชี้สังคมไทยต้องเรียนรู้ “การตายอย่างมีระบบ”

ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ หรือ OKMD เปิดเผยมุมมองล่าสุดเกี่ยวกับการเรียนรู้สำหรับ “ผู้ใหญ่ใกล้เกษียณ” ระบุว่า ขณะนี้ประเด็นที่ตนให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือ การให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้สูงวัยที่กำลังเผชิญกับความท้าทายในช่วงบั้นปลายชีวิตอย่างจริงจัง ด้วยเหตุว่า สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในบั้นปลายชีวิตของคนแก่ อาจเป็นเพียงบ้านหลังหนึ่ง การมีชีวิตอย่างอิสระโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น แต่ถ้าไม่มีแผนจัดการ ก็อาจกลายเป็นภาระทั้งต่อตัวเองและลูกหลาน

ดร.ทวารัฐ ยกตัวอย่างจากประเทศตะวันตก ที่มีการใช้เครื่องมือทางการเงินอย่าง Reverse Mortgage หรือ “สินเชื่อที่อยู่อาศัยแบบย้อนกลับ” ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้สูงวัยจำนองบ้านกับธนาคาร แลกกับรายได้ประจำ โดยยังคงสิทธิในการอยู่อาศัยได้จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้ผู้สูงอายุไม่ต้องพึ่งพาลูกหลาน หรือรอเงินเดือนจากคนในครอบครัว

ดร.ทวารัฐ ยังกล่าวถึงอีกหนึ่งแนวคิดสำคัญคือ “การเรียนรู้เรื่องมรดก” โดยเน้นว่าการแบ่งสมบัติ ควรเริ่มแบ่งตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ และควรแบ่งอย่างมีสติ ไม่ใช่มอบให้ลูกหลานทั้งหมด แต่เผื่อไว้เพื่อการดูแลตนเองในยามชรา พร้อมย้ำว่า “การให้โดยไม่มีแผน” อาจกลายเป็นการเพิ่มภาระให้ลูกหลานแทนที่จะเป็นการส่งเสริม 

นอกจากนี้ สังคมไทยกำลังเข้าสู่ภาวะ สังคมผู้สูงอายุเดี่ยว อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ค่านิยมแบบครอบครัวแน่นแฟ้นอาจเปลี่ยนไป คนรุ่นหลังอาจไม่มีศักยภาพเพียงพอในการดูแลผู้สูงวัย หากไม่มีระบบสนับสนุน หรือความเข้าใจที่ดี

“ความผูกพันในครอบครัวเป็นเรื่องงดงาม แต่ในโลกยุคใหม่ หากพ่อแม่ไม่เตรียมตัวไว้ก่อน ลูกหลานก็อาจไม่มีแรงพอจะดูแลได้เต็มที่ ทั้งด้านสุขภาพ โภชนาการ จิตใจ ความปลอดภัย การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม การเงิน และอื่นๆ จนสุดท้ายผู้สูงวัยเองก็อาจไม่ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างที่ควร” 

นอกจากนี้ ดร.ทวารัฐ ยังเชื่อว่า สังคมไทยต้องเริ่มส่งเสริม การเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิต และการวางแผนในช่วงปลายของชีวิตอย่างเป็นระบบ ซึ่งทำได้หลายอย่าง โดยเริ่มจาก “การวางแผนทางการเงิน” จัดการทรัพย์สินและเงินออมเพื่อให้สามารถดูแลตัวเองในช่วงปลายของชีวิต เช่น วางแผนการเกษียณ จัดการหนี้สิน ประกันสุขภาพ หรือ วางแผนการสืบทอดทรัพย์สินให้แก่ทายาท หรือ “การเตรียมความพร้อมในการดูแลสุขภาพ” เช่น ประกันสุขภาพ ตรวจสุขภาพเป็นประจำ ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่เหมาะสม 

รวมถึง “การเตรียมพร้อมทางอารมณ์และจิตใจ” เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เช่น การสูญเสีย การเกษียณ ความสัมพันธ์ในครอบครัวและสังคม 

และที่สำคัญคือ “การพัฒนาทักษะการใช้ชีวิตในวัยหลังเกษียณ” เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตในช่วงวัยนี้ อย่าง เช่น พัฒนางานอดิเรก มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม เพื่อเสริมสร้างความสุข 

และสุดท้ายคือ “การวางแผนการสิ้นสุดชีวิต” เช่น จัดทำพินัยกรรม หรือ วางแผนจัดการสิ่งต่างๆ หลังจากที่ผู้สูงวัยเสียชีวิต เพื่อให้ผู้สูงวัยสามารถ “อยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี” และ “จากไปอย่างเป็นธรรมชาติ” โดยไม่ทิ้งภาระ หรือ ความเครียดให้กับคนรุ่นหลัง