‘เจริญ’ปิดดีลซื้อบิ๊กซี2แสนล้าน ‘บีเจซี’ถือหุ้นเบ็ดเสร็จ 97.94%

19 พ.ค. 2559 | 05:00 น.
กลุ่ม”เจริญ สิริวัฒนภักดี” แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นบิ๊กซี จากนักลงทุนทั่วไปได้ทั้งหมด 39.38 % ใช้เงิน 8.2 หมื่นล้านบาท รวมที่ซื้อจากกลุ่มคาสิโนก่อนหน้านี้ ทำให้กวาดหุ้นได้ทั้งสิ้น 97.94 % เบ็ดเสร็จใช้เงินเทคโอเวอร์ 2 แสนล้านบาท นักวิเคราะห์จับตาเบอร์ลี ยุคเกอร์ เพิ่มทุน ?

[caption id="attachment_54433" align="aligncenter" width="421"] เจริญ สิริวัฒนภักดี เจริญ สิริวัฒนภักดี[/caption]

นางสาวรำภา คำหอมรื่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน และรองประธานฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)(บมจ.)(BIGC ) รวมถึงบมจ.เบอร์ลี ยุคเกอร์ (BJC ) แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ว่า ตามที่ บริษัท บีเจซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด บริษัท สัมพันธ์เสมอ จำกัด และ บริษัท บีเจซี รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นกลุ่มบมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ในฐานะผู้ทำคำเสนอซื้อได้ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ หรือเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ BIGC โดยมีกำหนดระยะเวลาการรับซื้อทั้งสิ้น 25 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2559 ถึงวันที่ 11 พฤษภาคม 2559 นั้น
ปรากฏว่ามีผู้เสนอขายหุ้นทั้งสิ้น 324.91 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นจำนวน 39.38% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการ จากที่กลุ่ม BJC ได้เสนอซื้อหุ้น BIGC จำนวน 341.92 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 41.45%

ภายหลังสิ้นสุดการทำคำเสนอซื้อ BIGC ครั้งนี้ ส่งผลให้กลุ่ม BJC ถือหุ้นใน BIGC รวมจำนวน 807.99 ล้านหุ้น คิดเป็นจำนวน 97.94% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ถือหุ้นอยู่ 483.08 ล้านหุ้น หรือราว 58.55%

ทั้งนี้กลุ่ม BJC ตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้น BIGC จากนักลงทุนทั่วไปที่ราคา 252.88 บาทต่อหุ้น ทำให้ใช้เงินในการทำคำเสนอซื้อครั้งนี้รวม 8.22 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับที่ซื้อหุ้นจากกลุ่มคาสิโน สัญชาติฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ BIGC ก่อนหน้านี้ในสัดส่วน 58.55 % เป็นเงิน 1.2 แสนล้านบาท ทำให้กลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ใช้เงินในการเทคโอเวอร์ BIGC รวมทั้งสิ้น 2 แสนล้านบาท

อนึ่งก่อนหน้านี้นางสาวนัทธ์หทัย ธนชัยหิรัญศิริ ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ. เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ เปิดเผยว่า ในการซื้อ BIGC บริษัทได้เตรียมความพร้อมด้านการลงทุนด้วยการขอกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินระยะสั้น 1 ปี จำนวน 2.2 แสนล้านบาท โดยเงินกู้ทั้งหมดจะเบิกตามจริง จากหุ้นที่รับซื้อมาได้ และอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับนั้น ก็เป็นไปในอัตราเดียวกับตลาด

โดย BJC จะเริ่มรับรู้ผลการดำเนินงานของ BIGC เข้ามาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/59 ภายหลังการจบทำคำเสนอซื้อหุ้นจากนักทุนทั่วไป ซึ่งปี 2558 ที่ผ่านมา BIGC มีรายได้รวม 1.3 แสนล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 7 พันล้านบาท

นางสาวนัทธ์หทัย กล่าวอีกว่า บริษัทจะพยายามรักษาอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ให้ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรม และภายหลังการได้ BIGC เข้ามา การเปรียบเทียบค่า D/Eของบริษัท จะต้องเทียบเคียงกับกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีก โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าจะมียอดขายเติบโต 10% ไม่รวม BIGC เข้ามาด้วย

ด้านความเห็นของนักวิเคราะห์ที่มีต่อบมจ.เบอร์ลี ยุคเกอร์ โดยนางสาวสุรีพร ทิวาสุเวศ นักวิเคราะห์ บมจ.บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า BJC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/2559 เท่ากับ 525 ล้านบาท ลดลง 24.2% เทียบไตรมาส 4/2558 และลดลง 0.8% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ซึ่งใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ โดยรวมผลการดำเนินงานของ BIGC เข้ามา 11 วัน หรือคิดเป็นกำไรสุทธิราว 119 ล้านบาท ซึ่งไม่สามารถครอบคลุมภาระดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายซื้อกิจการได้ทั้งหมด และมีผลกระทบต่อกำไรหลักของ BJC ราว 24 ล้านบาท

ทั้งนี้หากไม่รวมผลกระทบจากการรวม BIGC พบว่า BJC จะมีกำไรจากการดำเนินงานหลักที่ 549 ล้านบาท ลดลง 22.5% เทียบไตรมาส 4/58 แต่เพิ่มขึ้น 4.6% เทียบช่วงเดียวกับปีก่อน สาเหตุที่กำไรลดลงเทียบไตรมาส 4/2558 ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยฤดูกาล และฐานค่าใช้จ่ายที่ต่ำผิดปกติในไตรมาส

นางสาวสุรีพร กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยฯยังอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการกำไรปี 2559 ของBJC รวมถึงความชัดเจนของแผนการเพิ่มทุนที่อาจจะเกิดขึ้นเป็นลำดับถัดไป ทั้งนี้ยังมีปัจจัยความเสี่ยงอยู่หลายประเด็น อาทิ ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน จากการมีเงินกู้ยืมเป็นสกุลยูโร รวมถึงผลของ Dilution Effect หรือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากมีการเพิ่มทุน

(อ่านข่าวประกอบ “บิ๊กซี” เปิดโมเดลมินิไฮเปอร์ หน้า 22)

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,158 วันที่ 19 - 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559