สมาชิกจากสภาการเหมืองแร่ กว่า 2 พันรายผวากลัวซ้ำรอยกรณีปิดเหมืองทอง 17 พ.ค.เข้าพบอธิบดีกพร. ขณะที่ “อัครา” ชี้ 3 ประเด็นไม่เป็นธรรมต่อบริษัท รอหนังสือแจงมติครม. มาศึกษาทางก.ม. แต่กรณีฟ้องขอเป็นทางสุดท้าย เตรียมหารือสถาบันการเงินเคลียร์หนี้กว่า 2 พันล้าน หลังโครงการสะดุดปลายปี ด้านกพร.เร่งประมวลผลทุกด้านให้ชัดก่อนส่งหนังสือถึงอัครา พ.ค.นี้
หลังจากที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)รับทราบมติร่วมกันของ 4 กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่จะยุติการอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำและประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำ รวมถึงคำขอต่ออายุประทานบัตรทั่วประเทศ ทำให้วงการเหมืองที่มีสมาชิกอยู่ในสภาการเหมืองแร่รวมจำนวน 2.50 พันราย เกิดความกังวลว่า กรณีดังกล่าวแม้ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าผู้ประกอบการเป็นต้นเหตุของปัญหา ก็สามารถถูกสั่งให้ปิดเหมืองที่ได้ประทานบัตรไปแล้วได้ และธุรกิจเหมืองเกือบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็มีความเสี่ยงอยู่แล้ว เพราะเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น
17พ.ค.สภาการเหมืองแร่พบกพร.
ต่อเรื่องนี้นายสมพร อดิศักดิ์พานิชกิจ เลขาธิการสภาการเหมืองแร่ เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า วันที่17 พฤษภาคม 2559 ตัวแทนสมาชิกและกรรมการสภาการเหมืองแร่จะเข้าพบนายชาติ หงส์เทียมจันทร์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่(กพร.)เพื่อขอความชัดเจนในประเด็นของบริษัทบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ที่ได้รับผลกระทบหลังจากที่ ครม.รับทราบมติร่วมกับ4 กระทรวงดังกล่าว ให้ต่อใบอนุญาตประกอบโรงประกอบโลหกรรมที่หมดอายุลงวันที่ 13 พฤษภาคม2559 ไปจนถึงสิ้นปี 2559 ทั้งที่ยังเหลืออายุประทานบัตรอีกหลายปี ซึ่งมองว่ามติครม.ยังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะในประเด็น ที่ผู้ประกอบการไม่มีพฤติกรรมทำผิดพ.ร.บ.แร่ รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรมก็ต้องให้ความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการ
อย่างไรก็ตามช่วงที่ผ่านมาสภาการเหมืองแร่ติดตามปัญหาที่เกิดขึ้นกับบริษัท อัคราฯอย่างต่อเนื่องและทราบว่าเมื่อปลายปี 2557 มีการตั้งคณะทำงานร่วม 5 ฝ่ายประกอบด้วยตัวแทนชาวบ้าน ,เหมืองทองคำอัครา, ฝ่ายปกครอง, กพร. และนักวิชาการที่นำโดยมหาวิทยาลัยรังสิต ถ้ามีข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ออกมาก็จะยุติปัญหาได้ แต่น่าสังเกตว่าวันนี้ผลการตรวจสอบกลับยังไม่มีข้อยุติว่าต้นเหตุเกิดจากอะไร ถ้ารู้ต้นเหตุก็จะเป็นพื้นฐานข้อมูลที่สำคัญให้รัฐตัดสินใจได้ และสังคมก็เกิดความชัดเจนอย่างถูกต้อง
สอดคล้องกับแหล่งข่าวจากวงการเหมือง ในสภาการเหมืองแร่รายหนึ่งกล่าวว่า วงการเหมืองแร่เช็กข่าวตลอดวันหลังมีข่าวปิดเหมืองออกมา ถึงข้อกังวลที่เกิดขึ้น เนื่องจากสมาชิกกว่า 2 พันรายนั้นมาจากหลายกลุ่ม มีทั้งกลุ่มที่ได้ประทานบัตรทำเหมืองแล้วจำนวน500 ราย กลุ่มที่เป็นสมาชิกสมทบ ประมาณ 200 ราย เช่น กลุ่มโรงแต่งแร่ และกลุ่มสมาชิกชั่วคราวที่กำลังยื่นเรื่องขอทำเหมืองอีก 1.80 พันราย ที่พากันวิตกว่าการทำธุรกิจระหว่างทางจะไม่ราบรื่น หากมีข้อร้องเรียนจากสังคมออกมาแม้ยังพิสูจน์ไม่ได้ก็อาจถูกตัดสินให้หยุดดำเนินกิจการลงกลางคันได้ โดยเฉพาะการทำเหมืองหิน เหมืองโปแตช เหมืองยิปซัม
"ธุรกิจเหมืองแร่เริ่มทำก็เป็นผู้ร้ายในสายตาประชาชนแล้ว พอเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาคนที่จะเข้าข้างก็ยาก อีกทั้งรายได้เข้ารัฐก็น้อย ผลทางเศรษฐกิจก็มีไม่มาก พอวุ่นวายมากก็กลายเป็นประเด็นขัดแย้งทางสังคมที่ไม่จบสิ้น"
อเหมืองโปรแตชหวั่นซ้ำรอย
สอดคล้องกับที่นายอภิชาต สายะสิญจน์ รองกรรมการผู้จัดการ สายปฏิบัติการ บริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด(มหาชน) ผู้ได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตชจากระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ที่อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ ครอบคลุมพื้นที่ 9.7 พันไร่ มีอายุประทานบัตร 25 ปีกล่าวว่า การที่รัฐบาลมีนโยบายปิดเหมืองแร่ทองคำของบริษัท อัคราฯ ได้สร้างความตื่นตระหนกในวงการทำเหมืองแร่เป็นอย่างมาก เนื่องจากเหตุผลที่ไม่มีความชัดเจน เพียงแต่อ้างถึงความขัดแย้งในพื้นที่เท่านั้น
โดยมองว่าหากเหมืองแร่อื่นๆ มีการเรียกร้องหรือเกิดความขัดแย้งในพื้นที่เกิดขึ้น กลุ่มผู้คัดค้านจะอาศัยกรณีของเหมืองแร่ทองคำ มาใช้ปฏิบัติกับเหมืองแร่ต่างๆ ได้ ซึ่งในส่วนนี้ทางผู้บริหารของบริษัทเองก็มีความเป็นห่วง เนื่องจากปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการทำความเข้าใจกับชาวบ้านในพื้นที่เพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 50 เมกะวัตต์ เพื่อนำไฟฟ้ามาใช้ในการทำเหมือง ซึ่งยังมีการต่อต้านจากชาวบ้านเป็นส่วนน้อยอยู่ ในขณะที่การทำเหมืองแร่โปแตชนั้น ชาวบ้านในพื้นที่ให้การสนับสนุน แต่ที่เป็นห่วงเกรงว่าชาวบ้านที่ต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินจะใช้เหตุผลที่ใช้กับบริษัท อัคราฯ มาเป็นข้ออ้างในการยุติก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินได้ ซึ่งจะไปกระทบต่อการทำเหมืองโปแตช ที่จะต้องพึ่งพาไฟฟ้าจากถ่านหิน
แต่อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทยังไม่มีความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะไม่นำเหตุผลดังกล่าวมาดำเนินการกับบริษัท เนื่องจากกระทรวงการคลังก็เป็นผู้ถือหุ้นอยู่ 20 % และมีในส่วนของรัฐบาลมาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นผู้ถือหุ้นอยู่ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทก็ได้มีการหารือกับกระทรวงการคลังไปบ้างแล้วในกรณีที่เกิดขึ้นกับเหมืองแร่ทองคำของบริษัท อัคราฯ ซึ่งก็ยังไม่มีสัญญาณอะไรออกมาว่ารัฐบาลจะยกเลิกประทานบัตรในการทำเหมือง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเหมืองแร่ทองคำ หากมองในอีกแง่หนึ่ง ทำให้บริษัทต้องระมัดระวังในการดูแลประชาชนในพื้นที่ให้เข้มข้นขึ้นอีก เพื่อปิดช่องโหว่ ที่จะทำให้บริษัทมีปัญหากับชาวบ้าน
3ประเด็นไม่เป็นธรรมต่ออัครา
ด้านนายสิโรจ ประเสริฐผล ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่าขณะนี้มี 3 ประเด็นหลักที่สร้างความไม่เป็นธรรมต่อบริษัท คือ1. ผลการตรวจสอบที่ไม่ชี้ชัดว่าบริษัทฯเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพ ทั้งที่ผลการตรวจสอบจากกลุ่มนักวิชาการจากสถาบันการศึกษา ก็ไม่ชี้ชัด ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมเลือกให้บริษัท แบร์ โด แบร์ อินเตอร์เนชั่นแนลฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านเหมืองและสิ่งแวดล้อมจากประเทศอังกฤษที่มีประวัติการศึกษาเรื่องเหมืองเกิน105 ปี เข้ามาศึกษากิจการเหมืองอัคราก็ชี้ชัดว่าไม่มีไซยาไนด์(SCN)รั่วไหลจากกิจการเหมืองแร่ทองคำของบริษัท แต่บริษัทฯก็ถูกตัดสินให้ต้องหยุดดำเนินกิจการทั้งเหมืองแร่และโรงประกอบโลหการในปลายปี2559 นี้
2.รัฐบาลไทยเชิญให้ทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยให้การสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์แต่เดินไปไม่ถึงฝั่ง เนื่องจากยังเหลือเวลาอีก 12 ปีจึงจะหมดอายุประทานบัตรเหมืองแร่ทองคำ หรือหมดในปี2571 จากทั้งหมด14 แปลง 3,725 ไร่ กรณีนี้เมื่อแผนการลงทุนสะดุดลงก็สะเทือนไปถึงแผนการใช้หนี้คืนสถาบันการเงินเอกชนด้วย เพราะก่อนหน้านี้กู้เงินมาราว 3,000 ล้านบาท เพื่อมาขยายธุรกิจ ซึ่งยังเหลือหนี้อีกราว 2,200 ล้านบาท ที่ยังชำระคืนไม่ครบ ซึ่งกู้เงินมาบนพื้นฐานของโครงการ ซึ่งจะมีเงินคืนเจ้าหนี้ก็ต้องดำเนินการตามแผนธุรกิจให้ได้ จากนี้ไปก็ต้องหารือกับสถาบันการเงินดังกล่าวต่อไป
3.เมื่อโครงการสดุดสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือสะเทือนต่อแผนธุรกิจที่เชื่อมโยงกันทันทีโดยเฉพาะคู่ค้า ที่ทำธุรกิจเชิงสนับสนุนเหมือง เช่นกลุ่มผู้รับเหมา ผู้ซัพพลายสินค้าที่เกี่ยวข้องที่กระจายอยู่ในพื้นที่จังหวัดพิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์รวมกันกว่า 300 รายต้องระส่ำ ทั้งกลุ่มเครื่องจักร โรงกลึง การซ่อมบำรุง เทรดเดอร์วัตถุดิบ ยังไม่รวมเงินหมุนเวียนในพื้นที่หายไป เพราะรายได้จากพนักงานของบริษัท อัคราฯกว่า1พันคนไม่มี
สำหรับบริษัท อัคราฯ ที่ผ่านมาลงทุนไปแล้วกว่า 1.40 หมื่นล้านบาท เมื่อมีรายได้เข้ามา หรือมีกำไรก็จะนำเงินไปลงทุนต่อเนื่อง โดยจะเห็นว่าปี2544 เรามีโรงประกอบโลหกรรมต่อมาในปี 2555 มีการขยายการลงทุนด้วยเงินทุน 3,800 ล้านบาท การที่เราเหลืออายุประทานบัตรอีก 12 ปีนั้น ทำให้เรายังมีแร่ที่ยังสามารถขุดมาใช้ได้อีกจำนวน 1.2 ล้านออนซ์ หรือเป็นมูลค่าตามราคาทอง ณวันที่ 12 พฤษภาคม 2559 จะมีมูลค่าแร่ 1,512 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ยังไม่ได้นำมาแปรรูป และยังไม่นับเป็นกำไร เพราะจะต้องมีการหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ, ค่าภาคหลวง และค่าอื่นๆอีก โดย 15 ปีที่ผ่านมาบริษัทจ่ายค่าภาคหลวงไปแล้วเป็นเงินมูลค่า 3.90 พันล้านบาท โดยค่าภาคหลวงขึ้นลงตามราคาทองคำ และจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลไปแล้ว 1.10 พันล้านบาท
เตรียมปรึกษาทนาย
อย่างไรก็ตามการดำเนินธุรกิจจากนี้ไปยังคงดำเนินการไปตามปกติ เพราะเวลานี้ยังไม่ได้รับหนังสือชี้แจงอย่างเป็นทางการจากกพร. พร้อมกับอยู่ระหว่างปรึกษากับทนายเพื่อหาความยุติธรรมให้กับบริษัท เพราะยังไม่มีการชี้ชัดว่าบริษัทเป็นต้นเหตุ ส่วนการฟ้องร้องจะเป็นทางออกสุดท้าย
"เวลานี้เราถูกลงโทษ ทั้งที่ยังไม่มีหลักฐานว่าเราเป็นต้นเหตุ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ภาครัฐโดยกระทรวงอุตสาหกรรมเชิญชวนให้ทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน โดยได้รับการสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์จากบีโอไอ เช่นการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี ยกเว้นภาษีอากรขาเข้าเครื่องจักร พอหมดอายุให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เมื่อต่ออายุปีที่ 9 เราก็จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ ควบคู่ไปกับการจ่ายค่าภาคหลวง"
หนังสือจากกพร.ถึงมือไม่เกินพ.ค.
ด้านนายชาติ หงส์เทียมจันทร์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การยุติการอนุญาตสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำทั้งหมดทั่วประเทศ เกิดจากที่ประชาชนบางส่วนเรียกร้องว่าได้รับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ทำให้ก่อนหน้านี้กระทรวงอุตสาหกรรมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหา ข้อขัดแย้งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ โดยมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมและปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานร่วมกัน อีกทั้งคณะกรรมการชุดนี้ก็ได้ตั้งคณะกรรมการย่อยขึ้นมา 2 ชุด ประกอบด้วยชุดที่ 1 เพื่อมาดูแลผลกระทบสิ่งแวดล้อม เช่นแหล่งน้ำ สภาพดิน ชุดที่ 2 เพื่อดูแลสุขภาพอนามัยทั้งหมดแล้วมาประมวลผล แต่จากการประชุมชุดใหญ่ ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าการปนเปื้อนโลหะหนักและสารพิษในร่างกายของคนรอบเหมืองเกิดจากเหมืองทองคำหรือไม่ จะต้องไปตรวจสอบ ฝุ่นละอองและการรั่วซึมของบ่อเก็บกากและแร่อย่างละเอียด หลังจากที่ก่อนหน้านั้นกรมอนามัยระบุว่าฝุ่นบางส่วนมีลักษณะแตกต่างจากฝุ่นบ้าน ส่วนการรั่วซึมของบ่อ มีนักวิชาการบางท่านยังมีข้อสงสัย เนื่องจากยังฟันธงไม่ได้
ส่วนเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรจากกพร.ที่จะต้องส่งถึงบริษัท อัคราฯถึงรายละเอียดมติครม.มีขั้นตอนการปิดเหมืองอย่างไรนั้น กพร.อยู่ระหว่างประมวลผลข้อมูลทุกอย่างให้ชัดเจนเพราะการปิดเหมืองต้องมีเรื่องการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอ และรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพหรืออีเอชไอเอ คาดว่าภายในเดือนพ.ค.นี้หนังสือดังกล่าวถึงบริษัท อัคราฯ
อนึ่งจากนโยบายการยุติสัมปทานเหมืองแร่ทองคำดังกล่าว จะส่งผลไปถึงยุติการอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำ ซึ่งปัจจุบันมีคำขออาชญาบัตรพิเศษสำรวจ แร่ทองคำ จาก 12 บริษัท ครอบคลุมพื้นที่ 10 จังหวัด ได้แก่ เพชรบูรณ์ พิจิตร จันทบุรี ระยอง พิษณุโลก ลพบุรี สระบุรี สระแก้ว นครสวรรค์ และสตูล จำนวน 177 แปลง พื้นที่ประมาณ 1,539,644 ไร่
Photo Cover :
Pixabay
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,157 วันที่ 15 - 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2559