รวบยกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างตัวเป็นตำรวจ หลอกโอนเงิน เสียหายกว่า 73 ล้าน

28 ธ.ค. 2564 | 09:26 น.

ตำรวจ รวบยกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างตัวเป็นตำรวจ หลอกผู้เสียหายโอนเงินกว่า 60ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 73 ล้านบาท

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.ร่วมแถลงจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลอกผู้เสียหายโอนเงิน 60 ราย ความเสียหายกว่า 73 ล้านบาท สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายมาแจ้งความที่ สภ.สันทรายจว.เชียงใหม่ ว่าได้รับการติดต่อจากคนร้ายอ้างเป็นบริษัทขนส่ง DHL แจ้งว่ามีพัสดุถูกส่งมาจากต่างประเทศและมีความเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน คนร้ายได้ปลอมบัญชีไลน์โดยใช้ชื่อว่า “สภ.เชียงใหม่” 

ติดต่อกับผู้เสียหายและหลอกให้โอนเงินจำนวนกว่า 500,000 บาท ไปยังบัญชีของกลุ่มคนร้าย จึงสั่งการให้ตำรวจPCT ทำการสืบสวนจนทราบว่าธุรกรรมทางการเงินของกลุ่มคนร้ายนั้นทำการโอนเงินตามคำสั่งซึ่งอยู่ประเทศกัมพูชาและมีลักษณะเป็นการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศผิดกฎหมายอีกด้วย คนร้ายมีเป็นกลุ่มแก๊ง และใช้อุบายในการหลอกลวงผู้เสียหายหลากหลายวิธี เช่น หลอกว่าผู้เสียหายพัวพันยาเสพติด หรือการฟอกเงิน หลอกให้ลงทุนในแพตฟอร์มต่างๆ มีผู้เสียหายแล้ว 60 ราย หลงเชื่อโอนเงินไปให้คนร้าย มูลค่าความเสียหายกว่า 73 ล้านบาท 

เเนวทางการสืบสวนพบว่าสถานที่ที่คนร้ายใช้ในการกระทำความผิดตั้งอยู่ที่ประเทศกัมพูชา มีการแบ่งหน้าที่กันออกเป็น 5 กลุ่ม คือ 

 1. คนร้ายระดับสั่งการ 

 2. คนร้ายทาหน้าที่จัดหาบัญชีและเปิดบัญชีธนาคาร

 3. คนร้าย ที่ติดต่อหลอกลวงผู้เสียหาย สาย 1 สาย 2 สาย 3

 4. คนร้ายทาหน้าที่จัดการเรื่องการเงิน และ

 5. คนร้ายจัดหา คนไปทางานเพื่อหลอกลวงคนไทย

 

 จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งให้สถานีตำรวจซึ่งรับคำร้องทุกข์จากผู้เสียหาย เพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับคนร้ายมาดำเนินคดี ซึ่งศาลได้อนุมัติหมายจับแล้ว จำนวน 27 หมาย โดย ภ.5 และ สตม. สามารถจับกุมตัวได้แล้ว 23 หมายจับ 

รวบยกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างตัวเป็นตำรวจ หลอกโอนเงิน เสียหายกว่า 73 ล้าน

ขณะที่ชุดสืบสวนได้เดินทางไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อประสานติดตามจับกุมตัวผู้กระทำความผิดกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยให้ได้ โดยทางการกัมพูชาได้นำกำลังเข้าตรวจค้นสถานที่ซึ่งเชื่อว่าใช้ในการกระทำความผิดในเมืองพระสีหนุ และเมือง พนมเปญ ผลการตรวจค้นพบคนไทยซึ่งทำงานให้กับแก๊ง CallCenter 39 คน โดยเป็นบุคคลตามหมายจับ 1 ราย จากนั้นทางการกัมพูชา ได้ส่งตัวคนไทยทั้ง 39 คน มาใหสำนักกงานตรวจคนเข้าเมืองรับตัวไว้เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

 

 ในส่วนของ สภ.สันทราย จว.เชียงใหม่ ภ.5 นั้น ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหา จำนวน5 ราย ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและร่วมกันฟอกเงิน”  ประกอบด้วย

1. นางกุลยากรณ์ สงวนนามสกุล ทําหน้าที่ รับจ้างเปิด บัญชีธนาคาร (ถูกจับกุมแล้ว)

2. น.ส.จุฑาพร สงวนนามสกุล ทําหน้าที่ รับจ้าง เปิดบัญชีธนาคาร (ถูกจับกุมแล้ว)

3. นายพยัคฆพล สงวนนามสกุล ทําหน้าที่โอนเงินตาม คําสั่งของแก็งคอลเซ็นเตอร์(Internetbanking) และทําธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศผิด กฎหมาย(โพยก๊วน) ในพื้นที่ประเทศกัมพูชา

4. น.ส.สาวิตรี สงวนนามสกุล ทําหน้าที่รวบรวมสมุด บัญชีและซิมการ์ดโทรศัพท์จากบุคคลอื่นๆ

5. นายชัยยศ สงวนนามสกุล ทําหน้าที่รวบรวมสมุดบัญชีและซิมการ์ดโทรศัพท์จากบุคคลอื่นๆ

 

ทั้งนี้ ตำรวจ PCT ได้ร่วมกับ บก.สส.ภ.2 สืบสวนขยายผลจากคดีข้างต้น ทราบว่าจะมีการเคลื่อนย้ายคนจีนบางส่วนเข้ามาตั้งศูนย์ปฏิบัติการในประเทศไทยผ่านทางจังหวัดสระแก้ว จึงได้ร่วมกันออกสืบสวนตามแนวชายแดนภาคตะวันออก พบรถยนต์ต้องสงสัย 2 คัน ขับวนเวียนไปมา บริเวณริมถนนคลองไก่เถื่อนทับทิมสยาม อ.คลองหาด จ.สระแก้วจึงขอทำการตรวจค้น ปรากฎพบคนไทย 2 คน คนจีนอีก 9  คน ตรวจสอบเอกสารคนจีน พบว่าเข้ามาในราชอาญาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ภายในรถพบอุปกรณ์สำหรับเปิดออฟฟิศคอลเซ็นเตอร์ จึงควบคุมตัวทั้ง 11 คน พร้อมรถยนต์ 2 คัน โทรศัพท์มือถือ 22 เครื่อง แจ้งข้อหา “ช่วยเหลือ ซ่อนเร้นหรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ เพื่อให้บุคคลต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม” และ ”เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” และ”ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดสระแก้วที่ 944/2563 ห้ามเคลื่อนย้ายบุคคลต่างด้าวเข้ามาในจังหวัด” ทั้งนี้อยู่ระหว่างดำเนินการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติมเพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มชาวจีนในข้อหาฉ้อโกงประชาชนต่อไป

 

 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่มีนโยบายให้ผู้เสียหายหรือใครโอนเงินมาเพื่อตรวจสอบธุรกรรมใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ หากท่านพบผู้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ เช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจ ป.ป.ส., ปปง. หรือ DSI ขอให้ใช้ความระมันระวังการถูกแอบอ้าง หากพบเบาะแส หรือเกรงจะตกเป็นเหยื่อ สามารถแจ้งข้อมูลเข้ามาได้ที่ www.pct.police.go.th หรือ สายด่วนศูนย์PCT 1599 ตลอด 24 ชม. หรือสายตรง 081-8663000 เฉพาะเวลาราชการ เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบข้อมูลให้