กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดเวทีประชุมรับฟังคำชี้แจงโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงปี 2565
โดย นางสาวธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมและทุนการศึกษา กสศ. กล่าวว่า ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาสูง โดยมีเด็กยากจนด้อยโอกาสถึง 4 ล้านคน และทวีความรุนแรงมากขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา
ซึ่งจากการสำรวจพบว่าเด็กยากจนยังเรียนระดับประถมศึกษาค่อนข้างสูง แต่จะน้อยลงเรื่อยๆ ในระดับการศึกษาที่สูงขึ้น โดยช่วงชั้นมัธยมต้นได้เรียน 80 % ระดับมัธยมปลาย ได้เรียน 52.9% หากเรียนในระดับสูงขึ้นจะมีเพียง 5% ต่อรุ่น หรือราวๆ 8,000 คน
ขณะที่ค่าเฉลี่ยของประเทศอยู่ที่ 30% นี่คือช่องว่างที่ห่างกันอยู่ถึง 6-7 เท่า ส่วนข้อมูลความต้องการกำลังคนของประเทศไทยหากจะขับเคลื่อนนโยบาย 4.0 ได้ ต้องการแรงงานสายอาชีพจำนวนมาก เฉพาะพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ต้องการกำลังคน 119,243 คน จากทั้งหมด 176,525 คน คิดเป็นสัดส่วน 80-90 % โดยเฉพาะความต้องการด้านการแพทย์ครบวงจร และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
นางสาวธันว์ธิดา กล่าวว่า ภารกิจหนึ่งของกสศ.คือการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนยากจนด้อยโอกาสเข้าถึงการศึกษา เมื่อรวม 2 โจทย์เข้าด้วยกันทั้งความด้อยโอกาสและความต้องการแรงงานสายอาชีพ กสศ.จึงได้ออกแบบโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ปีละ 2,500 คน ได้เรียนต่อสายอาชีพ (ปวช. ปวส. หรืออนุปริญญา)
ในสาขาที่มีความต้องการแรงงานของอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 สาขาที่ขาดแคลนด้านอาชีพระดับท้องถิ่น สาขาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและเทคโนโลยีดิจิตอล พร้อมกับหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล และหลักสูตรผู้ช่วยทันตแพทย์ ระยะเวลา 1 ปี
ซึ่งเป็นการส่งเสริมสนับสนุนและช่วยเหลือเยาวชนด้อยโอกาสให้ได้รับโอกาสการพัฒนาและศึกษาต่อในระดับสูงกว่าการศึกษาภาคบังคับ ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้มแข็งของสถานศึกษาในการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนและการบริหารจัดการสถานศึกษาที่สร้างสมรรถนะ (Competencies) และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเยาวชนให้ดีขึ้น จึงอยากเชิญชวนสถานศึกษาที่มีหลักสูตรดังกล่าวและผ่านการรับรองหลักสูตรโดยหน่วยงานต้นสังกัด สภาการพยาบาล และทันตแพทยสภา
นอกจากนี้ต้องมีความพร้อมทั้งด้านบุคลากร และอุปกรณ์ แหล่งเรียนรู้การจัดการและด้านที่พัก และมีการบูรณาการการเรียนกับการทำงานในสถานประกอบการ และสามารถผลิตบุคลากรป้อนสถานประกอบกิจการได้ จึงขอเชิญสถานศึกษาที่มีคุณสมบัติดังกล่าวสมัครเข้าร่วมโครงการ
การสนับสนุนทุนแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
ซึ่งถือเป็นทุนที่สร้างโอกาสทางการศึกษาและลดความเหลื่อมล่ำให้แก่เยาวชนด้อยโอกาสควบคู่ไปกับการสร้างความเข้มแข็งของสถานศึกษาเพื่อตอบโจทย์การพัฒนาประเทศตามนโยบาย 4.0
ผศ.ดร.ปานเพชร ชินินทร อนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพการศึกษาระดับสูงกว่าภาคบังคับ กล่าวว่า สถานศึกษาที่เชิญเข้าร่วมยื่นข้อเสนอโครงการมาจากทุกสังกัด สอศ. อว. และกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล และหลักสูตรผู้ช่วยทันตแพทย์
โดยโครงการนี้ให้ความสำคัญกับการทำงานแบบบูรณาการร่วมกับสถานประกอบการ เช่นเป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติจริง และการเพิ่มทักษะของนักศึกษาในด้านต่างๆ
เช่น ทักษะการดำรงชีวิต ทักษะการสื่อสาร ทักษะทางการเงิน ทักษะการจัดการตนเอง ความเครียด เป็นต้น ซึ่งเป็นทักษะที่จะช่วยให้เขาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและสามารถอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างมีความสุขด้วยการช่วยเหลือครอบครัวของเขาด้วย
ขณะที่ นายนพพร สุวรรณรุจิ อนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพการศึกษาระดับสูงกว่าภาคบังคับ กล่าวว่า หลักเกณฑ์การคัดเลือกสถานศึกษามี 6 ด้าน
นายนพพร กล่าวว่า ทั้งนี้ ในการพิจารณาคัดเลือกเพื่อความโปร่งใส เป็นธรรม จึงจะมีคณะกรรมการ 3 ฝ่าย คือ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน ภาควิชาการ และสื่อมวลชน โดยพิจารณาจากข้อเสนอโครงการและการสัมภาษณ์เพิ่มเติม ผ่านทางโทรศัพท์หรือระบบซูม สถาบันใหม่ที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการกับ กสศ. มาก่อน จะมีผู้ทรงคุณวุฒิลงพื้นที่ด้วย
จากนั้นจะนำข้อมูลทั้งหมดมาประมวลผลรวมกัน และนำไปสู่การพิจารณาขั้นตอนที่ 2 ของคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพการศึกษาระดับสูงภาคบังคับ จากนั้นลงมติคัดเลือกสถาบันที่มีความพร้อม มีความเข้าใจ มีความมุ่งมั่น ทั้งนี้ คำตัดสินถือเป็นมติและขอสงวนสิทธิ์เป็นที่สุดไม่มีการทบทวน
สำหรับคุณสมบัติผู้ที่จะได้รับ ทุนปวช. ต่อเนื่อง ปวส./ปวส./อนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรผู้ช่วยพยาบาลผู้ช่วยทันตแพทย์ โดยสถานศึกษาที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการจะดำเนินการค้นหา คัดกรองความยากจนและคัดเลือกมีคุณสมบัติ มีดังนี้
สถานศึกษาสายอาชีพที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการสามารถยื่นข้อเสนอโครงการทางออนไลน์ได้ตั้งแต่วันนี้ -13 ธันวาคม 2564 โดยอ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.eef.or.th/notice/career-capital-231121 ร่วมกันสร้างคน สร้างโอกาส สร้างงาน