เตือน ดันไทยเข้าเจรจา CPTPP ไม่ศึกษาผลได้-เสีย กระทบคนในประเทศ

22 พ.ย. 2564 | 12:09 น.

สภาองค์กรของผู้บริโภค เตือนดันไทยเข้าเจรจา CPTPP โดยไม่ศึกษาผลได้ ผลเสียจากปัจจัยใหม่ ส่งผลกระทบคนในประเทศ ขณะนี้มีมติร่วมมือกับสภาหอการค้า ศึกษาวิจัยเปรียบเทียบข้อดี - เสียจากการเข้าร่วม CPTPP

ตามที่คณะรัฐมนตรีต้องการให้ไทยยื่นหนังสือของเข้าร่วมเจรจาความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) โดยมีรายงานข่าวว่าคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) จะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในวันอังคารที่ 14 ธันวาคมนี้นั้น

 

วันนี้ (22 พฤศจิกายน 2564) สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา สอบ. ร่วมประชุมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีข้อสรุปร่วมกันและขอให้ กนศ. จัดประชุมเพื่อติดตามการปฏิบัติตามข้อแนะนำของคณะกรรมาธิการวิสามัญ

 

พิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) รวมถึงยังมีความร่วมมือกันในการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบว่าการเข้าร่วมจะมีผลได้หรือผลเสียมากกว่ากัน

 

ทั้งการค้าและการลงทุนที่เปรียบเทียบกับผลกระทบต่อประเทศ ซึ่งควรเป็นแนวทางในการตัดสินทางนโยบายที่สำคัญ

 

ก่อนหน้านี้ สอบ. ได้ทำหนังสือข้อเสนอเพื่อชะลอการส่งหนังสือแสดงเจตจำนงเข้าร่วม CPTPP ต่อคณะรัฐมนตรี กนศ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากมองว่าการเข้าร่วมความตกลง CPTPP ยังมีความเห็นต่างในเรื่องผลได้ทางเศรษฐกิจและผลกระทบทางลบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนไทยทั้งประเทศ

 

อีกทั้งอาจทำลายความพยายามของรัฐบาลในการบรรลุเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) หากมีการเข้าร่วมความตกลง CPTPP ด้วยความไม่รอบคอบและไม่ได้มองถึงประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย แต่กลับนำผลประโยชน์ทางธุรกิจของกลุ่มคนส่วนน้อยของประเทศมาพิจารณาเพื่อเข้าร่วมแทน

เตือน ดันไทยเข้าเจรจา CPTPP ไม่ศึกษาผลได้-เสีย กระทบคนในประเทศ

ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภค หากประเทศไทยเข้าร่วมความตกลง CPTPP 

  1. ประเทศไทยจะมีค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศสูงขึ้น และอุตสาหกรรมผลิตยาภายในประเทศจะชะงักงันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมาตรการ Patent Linkage
  2. ประเทศไทยจะถูกจำกัดการใช้มาตรการต่างๆ เพื่อการเข้าถึงยาที่จำเป็นและพิทักษ์และคุ้มครองสุขภาพของประชาชน เนื่องจากสุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องตามข้อบทว่าด้วยการคุ้มครองการลงทุน
  3. รัฐบาลไทยจะไม่สามารถสนับสนุนองค์การเภสัชกรรมให้ปฏิบัติพันธกิจส่งเสริมการเข้าถึงยาและความมั่นคงทางยาของประเทศได้อีกต่อไป
  4. ประเทศไทยถูกบังคับให้นำเข้าเครื่องมือแพทย์ใช้แล้วที่ผ่านกระบวนการผลิตซ้ำหรือผลิตใหม่ ในขณะที่ประเทศยังไม่มีศักยภาพในการควบคุมกำกับเครื่องมือแพทย์เหล่านี้ ส่งผลให้ผู้ป่วยอาจได้รับ การวินิจฉัยและการรักษาโรคผิดพลาดหรือไม่ได้มาตรฐานได้
  5. ผู้บริโภคจะได้รับความเสี่ยงจากภัยของเครื่องสำอางที่ด้อยคุณภาพ
  6. ผู้บริโภคจะได้รับความเสี่ยงจากการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ที่ไม่ต้องขึ้นทะเบียนในการจำหน่าย ปัญหาถูกหลอกถูกโกงจะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ความตกลง CPTPP กำหนดให้ต้องลดภาษีนำเข้าสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ และยาสูบ ส่งผลให้ผู้บริโภคเข้าถึงอบายมุขเหล่านี้มากขึ้น
  7. ฐานทรัพยากรด้านสมุนไพรของไทย ซึ่งสามารถจะพัฒนาต่อยอดเป็นยาและเวชภัณฑ์ อาจถูกยึดครองด้วยบรรษัทต่างชาติจากการบังคับเข้าอนุสัญญา UPOV1991
  8. เกษตรกรที่ซื้อพันธุ์พืชใหม่มาปลูกจะต้องจ่ายค่าเมล็ดพันธุ์ในราคาสูงขึ้น 2 - 6 เท่า
  9. ผู้บริโภคอาจได้รับอันตรายจากผลิตภัณฑ์ที่มีหรือปนเปื้อนสารตัดแต่งพันธุกรรม (GMO) และการปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดงในเนื้อหมูและเครื่องในหมู

นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า จนถึงขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ในฐานะเลขานุการ กนศ. ยังไม่ดำเนินการตามข้อสั่งการนายกฯ ที่รับทราบข้อห่วงกังวลดังกล่าวและบัญชาให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาและประสานกับ สอบ. อ้างอิงถึงสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ทำหนังสือถึง สอบ. เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2564

 

ไม่เพียงเท่านั้น กนศ. ยังมีมติไม่ทำการศึกษาเพิ่มเติม กรณี จีน ไต้หวัน และสหราชอาณาจักรเข้าร่วมว่าจะเป็นประโยชน์หรือส่งผลกระทบทางลบกับไทยที่จะเข้าร่วมหรือไม่อย่างไร รวมทั้งบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไปหลังวิกฤตการระบาดของโควิด 19 ซึ่งพื้นที่ทางนโยบายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งและอาจได้รับผลกระทบจากการฟ้องร้องของนักลงทุนต่างชาติต่อนโยบายสาธารณะผ่านกระบวนการอนุญาโตตุลาการที่ไทยเองก็กำลังเผชิญอยู่

 

ดังนั้น ในภาวะที่ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคม สอบ. ที่ทำหน้าที่ตามมาตรา 14 ของ พ.ร.บ. การจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 ในการเป็นตัวแทนผู้บริโภคและคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคในทุกด้าน ยืนยันข้อเสนอแนะเดิมที่ได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีไปแล้วอีกครั้ง คือ ขอให้คณะรัฐมนตรีชะลอการแสดงความจำนงเข้าร่วม CPTPP จนกว่าจะมีความเห็นร่วมที่แท้จริงบนฐานของความถูกต้อง

 

จนกว่าการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบผลกระทบด้านบวกและด้านลบแล้วเสร็จ และนำเสนอผลการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบฯ ต่อสาธารณะทันทีเมื่อแล้วเสร็จ หากข้อมูลพบผลกระทบด้านลบมากกว่าผลดีที่จะเกิดขึ้น ขอให้รัฐบาลมีมติหยุดการเข้าร่วมเจรจาความตกลง CPTPP ต่อไป

 

ทั้งนี้ ข้อกล่าวอ้างที่การเจรจาเข้าร่วมใช้เวลากว่าจะมีผลบังคับใช้ ไม่สามารถเป็นหลักประกันป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เพราะจนถึงขณะนี้รัฐบาลยังไม่จัดทำกรอบการเจรจา ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลว่ามีการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะสำคัญของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่ว่า ‘ไทยยังไม่สมควรที่จะเข้าร่วมในความตกลง CPTPP’ เนื่องจากยังไม่มีความพร้อมในหลากหลายด้าน

 

หากจะมีการเจรจาควรมีกรอบการเจรจาที่เกิดจากกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยเฉพาะประเด็นอ่อนไหว เพราะแม้คณะรัฐมนตรีจะกล่าวว่าเข้าร่วมแบบมีข้อสงวน แต่เป็นการพูดปากเปล่า ไม่มีแม้แต่สัญญาประชาคมว่า อะไรคือข้อสงวนที่ผู้เจรจาฝ่ายไทยต้องถือเป็นบรรทัดฐานในการเจรจา

ที่มา : สภาองค์กรของผู้บริโภค