เปิด"รหัสลับ"สัญญาณไฟรถบรรทุก ที่หลายคนไม่เคยรู้ เช็กเลย

19 พ.ย. 2564 | 20:30 น.

เปิด"รหัสลับ"สัญญาณไฟรถบรรทุก ที่มักใช้บนท้องถนน เพื่อเตือนให้ผู้ขับขี่รถคันอื่นระวังความเสี่ยงบนท้องถนน ที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน มีอะไรบ้าง เช็กเลย

เชื่อว่าหลายครั้งผู้ขับขี่ที่ขับตามหลังรถบรรทุก เกิดความสงสัยว่า สัญญาณไฟรถบรรทุกที่เปิดให้สัญญาณมีความหมายว่าอย่างไร

กรมการขนส่งทางบก ไขข้อสงสัย "รหัสลับ" สัญญาณไฟรถบรรทุก ที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน 

เปิด"รหัสลับ"สัญญาณไฟรถบรรทุก ที่หลายคนไม่เคยรู้ เช็กเลย

 

  • เปิดไฟเลี้ยวซ้ายที-ขวาที สลับกัน

เตือนให้ระวัง เพราะรถบรรทุกกำลังจะเบรก ด้านหน้าอาจจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ให้เราขับชะลอความเร็ว และห้ามแซงขึ้นไป เพื่อความปลอดภัย

  • เปิดไฟเลี้ยวซ้าย

หากเราขับตามแล้วรู้สึกว่ารถบรรทุกคันหน้าวิ่งช้า เลยตัดสินใจจะแซง แล้วสังเกตเห็นว่าอยู่ดีๆ รถบรรทุกเปิดไฟเลี้ยวซ้ายทั้งที่ไม่มีซอยหรือทีท่าจะเลี้ยวแต่อย่างใด นั่นแสดงว่า เขาบอกเราว่า ข้างหน้าปลอดภัย สามารถแซงออกขวาได้ตามอัธยาศัย

  • เปิดไฟเลี้ยวขวา

เมื่อขับรถอยู่หลังรถบรรทุก แล้วพยายามแซง รถบรรทุกจะเปิดไฟเลี้ยวขวา ทั้งที่ไม่มีซอยหรือทางเลี้ยว ข้างหน้า หมายความว่า ไม่สามารถแซงได้ ห้ามแซง เพราะข้างหน้าอาจมีรถสวนมา หรือมีทางโค้ง แล้วโดยส่วนมากเมื่อทุกอย่างคลี่คลาย รถบรรทุกจะกลับมาเปิดไฟเลี้ยวซ้ายอีกที ส่งสัญญาณให้เราแซงได้

  • เปิดไฟสูง

เวลากลางคืนในขณะที่เรากำลังแซงขวา รถบรรทุกคันที่เรากำลังแซงเปิดไฟสูงให้เป็นสัญญาณให้ทาง และช่วยส่องไฟให้เราเห็นทางด้านหน้าชัดเจน และเมื่อรถบรรทุกดับไฟสูงลง เป็นสัญญานบอกว่ารถเราแซงพ้นแล้ว สามารถกลับเข้ามาในเลนได้

  • กระพริบไฟสูง 1 ครั้ง

ในกรณีที่รถบรรทุกวิ่งสวนทางมา กระพริบไฟสูงใส่ 1 ครั้ง เป็นการเช็กว่าเพื่อนร่วมทาง เช่น เช็กว่าเราง่วงหรือเปล่า และ ทางที่เราผ่านมานั้นมีอุบัติเหตุหรือด่านไหม หากไม่มีอะไร ให้เรากระพริบไฟส่งสัญญาณกลับ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการตอบรับ

  • ดับไฟหน้า แล้วเปิดขึ้นใหม่

ในกรณีที่รถบรรทุกวิ่งสวนทางมา ดับไฟหน้า แล้วเปิดขึ้นใหม่ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ทางด้านหน้าอาจมีการตั้งด่าน หรือมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ให้เราเตรียมพร้อม ชะลอความเร็วลง

สัญญาณไฟของรถบรรทุกเหล่านี้ บางคนอาจจะไม่รู้มาก่อน ดังนั้น ควรทำเข้าใจการส่งรหัสสัญญาณไฟในลักษณะต่างๆ เพราะหากเราเข้าใจการสื่อสารบนท้องถนนตรงกัน ก็จะช่วยให้ขับขี่กันอย่างปลอดภัยมากขึ้นทั้งตัวคุณและเพื่อนร่วมทาง

ที่มา : กรมการขนส่งทางบก PR.DLT.News