“ภาษีลดโลกร้อน” ในอียู เปิดมุมองของนักเศรษฐศาสตร์ ทีดีอาร์ไอ

30 ก.ย. 2564 | 10:46 น.

ทีดีอาร์ไอ เผย “คาร์บอนเครดิต” ภาษีลดโลกร้อน ปลุกตลาดอียูตื่น บีบนักธุรกิจปรับตัว หวังเลี่ยงค่าปรับในส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินปริมาณ บางธุรกิจใช้ซื้อคาร์บอนออฟเซ็ตแทนคุ้มค่ากว่า ลดต้นทุนได้ด้วย

 ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ นักวิชาการอาวุโส (เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (ทีดีอาร์ไอ)  เปิดเผยในงานสัมมนา Virtual Forum Go Green หัวข้อ GREEN MISSION  : ปฏิบัติการไทย สู่สังคมโลว์คาร์บอน  ลดโลกร้อน จัดโดย หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ว่า  “คาร์บอนเครดิต"  ในมุมของนักเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป  (อียู)  ธุรกิจตลาดแบบนี้ จะมีแรงจูงใจ คาร์บอนเครดิตช่วยสร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใต้ระบบ  Cap And Trade System

 

เช่น ในสหภาพยุโรป ธุรกิจมีแรงจูงใจในการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ เพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับในส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินปริมาณในกระบวนการผลิตสินค้าและบริการเพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับในส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินปริมาณที่ได้รับอนุญาต

 

หรือมีรายได้เพิ่มจากการขายคาร์บอนเครดิตในส่วนในส่วนที่ปล่อยต่ำกว่าปริมาณที่ได้รับอนุญาต ภายใต้ Voluntary Carbon Mrkkets  ภาคธุรกิจสามารถใช้คาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจในการชดเชยก๊าซเรือนกระจกที่ไม่สามารถลดได้เนื่องจากต้องเผชิญต้นทุนในการลดที่สูงจนเกินไป หรือมีข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีที่ใช้ในการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะใช้ วิธีซื้อ ตลาดคาร์บอนออฟเซ็ต แทน เนื่องจากราคาถูกกว่า คุ้มค่ามากกว่า

ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจทั่วโลกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับกระแสที่ภาคธุรกิจประกาศ Corporate Climate Commitment  เช่น Carbon  Neutrality, Net Zero ฯลฯ 

 

ตลาดคาร์บอน

 

  • สำหรับบทบาทคาร์บอนเครดิตในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

ในระยะสั้น “คาร์บอนเครดิตช่วยทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Decarbonized economy) ง่ายขึ้น เนื่องจากมีการขยายการลงทุนในพลังงานทดแทน การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน รวมถึงการลงทุนในทุนทางธรรมชาติ ส่วนในระยะกลางถึงระยะยาว คาร์บอนเครดิตช่วยในการสนับสนุนการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์  (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกติดลบ)  โดยให้การสนับสนุนทางการเงินกับการปลูกป่าหรือเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน ( CCUS)

 

ดร. กรรณิการ์   กล่าวถึงแนวโน้มตลาดคาร์บอนเครดิต สถานะของบริษัทเกี่ยวโยงกับธุรกิจรูปแบบไหน โดยปกติจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1.ภาคบังคับ  ก็คือ กลุ่มธุรกิจเองถูกบีบให้ปล่อยคาร์บอนไม่เกินตามเพดานที่ตามกฎหมายได้กำหนดเอาไว้ ก็มีหลายประเทศ อย่างที่กลุ่มประเทศอียู กำหนดไว้ในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมจะสามารถปล่อยคาร์บอนได้เท่าไร

 

ดังนั้นเมื่อจัดอยู่ในกลุ่มธุรกิจแบบนี้ก็จะต้องทำให้ค้าเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนเสียค่าปรับ จะใช้วิธีไปซื้อคาร์บอนออฟเซ็ต (ซื้อ “เครดิตของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก” จากผู้ประกอบการรายอื่นที่มีเครดิตเหลือมากพอที่จะขายต่อได้) ในราคาที่ถูกกว่าที่ทำได้เอง หรือหากหาซื้อเครดิตไม่ได้ก็ต้องเสียค่าปรับจำนวนมาก

 

  • ความท้าทายและโอกาส

ในอนาคต การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางการค้าโลก เช่น การดำเนินมาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) เป็นทั้งความท้าทายและโอกาส ให้ภาคธุรกิจในประเทศไทยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเข้มข้น รวมถึงยกระดับ กลไกในการตรวจวัดและรับรองมาตรฐานการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นที่ ยอมรับในระดับสากล

 

  • แนวทางในการสนับสนุนให้ตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจขยายตัวในอนาคต

 

1. การเสริมสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในกระบวนการตรวจวัดและรับรอง การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

 

2. การทำความเข้าใจกับภาคธุรกิจและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ เกี่ยวกับการใช้ คาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจในการบรรลุ Climate Commitment

 

3. การพัฒนา Market Infrastructure เพื่อรองรับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตภาค สมัครใจ

 

4. การลดความไม่แน่นอนด้านนโยบายเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ