“ประธาน ปศส.14”ชง 6 ข้อเสนอถึงนายกฯ แก้เศรษฐกิจ-โควิด เชื่อดีขึ้นใน 1 เดือน 

16 ส.ค. 2564 | 10:37 น.

“ประธาน ปศส.รุ่น 14”ชง 6 ข้อเสนอถึงนายกฯ แก้เศรษฐกิจและโควิดระบาด เชื่อว่าไทยจะดีขึ้นภายใน 1 เดือน ให้สธ.ออกระเบียบผ่อนผันการนําเข้ายา วัคซีนและเวชภัณฑ์เร่งด่วน อนุญาตเอกชนนําเข้ายาและวัคซีนโดยเสรี 

นายบุญยิ่ง เจริญฐิติวงศ์ ประธานหลักสูตรการบริหารเศรษฐกิจสาธารณะสำหรับนักบริหารระดับสูง (ปศส.) รุ่น 14 สถาบันพระปกเกล้า ได้ทำหนังสือถึง นายกรัฐมนตรี เรื่อง การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและโรคระบาด ระบุว่า

 

ข้าพเจ้านายบุญยิ่ง เจริญฐิติวงศ์ ประธานบริษัท แม็คฮิลล์ กรุ๊ป จํากัด และประธานนักศึกษา ปศส. รุ่น14 สถาบันพระปกเกล้า เห็นสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันอยู่ในสภาวะคับขันอย่างยิ่ง จึงใคร่ขอเสนอแนวทางแก้ไข ปัญหาบ้านเมืองดังนี้

 

แนวทางแก้สถานการณ์เศรษฐกิจและโรคระบาดขณะนี้

 

1.ต้องมีการตรวจประชากรแบบเร่งด่วนทั้งหมด เพื่อแยกผู้ติดเชื้อและผู้ไม่ติดเชื้อออกจากกันอย่างชัดเจน ซึ่งจะเหลือผู้ติดเชื้อไม่ถึงร้อยละ1 ของประชากร (เราจึงไม่ควรปล่อยให้ประชากรที่ติดเชื้อน้อยกว่า 1% ทําให้ระบบ เศรษฐกิจพังหมด)

 

- เมื่อเราแยกประชากรปลอดเชื้อออกมา พวกเขาทุกคนจะทํามาหากินได้ตามปกติทันที ไม่มีล็อกดาวน์ ไม่มีการคุมเข้มใด ร้านค้า ห้างร้านเปิดตามปกติ โรงเรียนเปิดตามปกติ ระบบเศรษฐกิจจะค่อยฟื้นในไม่ถึงหนึ่ง 1  เดือน

 

- กลุ่มผู้ติดเชื้อขอให้ใช้ค่ายทหาร สนามกีฬา อาคารยิมและที่ราชพัสดุต่างๆ ที่ว่าง มาทําเป็นค่ายพักชั่วคราว (ใช้ไม่เกิน 1 เดือน) (กรณีที่เราคัดแยก ด้วย Antigen Rapid Test Kit เราอาจให้ทําการตรวจ Swab ด้วย RT-PCR หรือไม่ก็ได้)

 

- แจกยาต้านไวรัสให้ผู้ติดเชื้อทันทีที่พบ ไม่มีข้อแม้ว่าจะอาการมากน้อย เพื่อเป็นการกําจัดเชื้อแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ให้เหลือและไม่ให้ยืดเยื้อ (ผู้ติดเชื้อจะไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่เสียกําลังแพทย์และพยาบาล ไม่เสียเตียง ผู้ที่ทานยาต้านไม่ได้ผล หรือมีโรคอื่น จําเป็นเท่านั้นถึงเข้ารักษาที่โรงพยาบาลซึ่งจะเพียงพอ)

 

ส่วนวิธีการคัดแยกมี 2 แบบคือ

 

ก. ตรวจโดยใช้ ATK (รวดเร็วและง่าย) โดยให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมมือกับ มหาดไทย โดยนัดวัน ดีเดย์ตรวจ 3 วัน พร้อมกันทั่วประเทศและต้องมีเงื่อนไข

 

- รัฐโดย สธ. เป็นผู้จัดหา ชุด ATK เร่งด่วน 80 ล้านชุดจากหลายๆผู้ผลิต เพื่อกระจายให้ทุกจังหวัดอย่างเร็ว ที่สุด (การใช้หลาย Supplier จะไม่เกิดการผูกขาด ไม่ถูกกล่าวหาและได้ของรวดเร็ว)

 

- ห้ามใครตรวจก่อนวันกําหนด

 

- วันที่กําหนดห้ามพลเมืองทุกจังหวัดเคลื่อนย้ายข้ามจังหวัด

 

- แต่ละคนต้องอยู่ในภูมิลําเนาของตนตามทะเบียนบ้าน

 

- หากไม่อยู่ตามทะเบียนต้องแจ้งเขตที่ตนเองอยู่ในปัจจุบัน

 

- มหาดไทยจะเตรียมการตรวจโดยจัดหน่วยตรวจเช่นเดียวกับการเลือกตั้ง ทุกคนต้องไปยังหน่วยที่สังกัด ในวัน กําหนดเพื่อตรวจโรคระบาด (ออกเป็น พรก.)

 

- มีหน่วยรถจาก ทหาร และโรงพยาบาลอาสาและตํารวจดับเพลิงและอาสา มาช่วยส่งผู้ติดเชื้อ กรณีตรวจ เป็นบวก เข้าค่ายทันที

 

- เมื่อทุกอย่างพร้อมลงมือตรวจพร้อมๆ กันทั่วประเทศ

 

- พบผู้ติดเชื้อเป็นบวก ส่งค่ายทันที่เพื่อรับยาและรักษา

 

- ผู้ไม่ติดเชื้อให้อยู่บ้าน 3 วันจนการตรวจเสร็จสิ้น ก็ใช้ชีวิตและทําธุรกิจตามปกติสุข

ข. จ้างเหมาหน่วยงานตรวจเชื้อชํานาญการจากประเทศจีน ซึ่งมีศักยภาพตรวจได้ 1 ล้านคนในแต่ละวัน ( ผมยินดีประสานให้)

 

- เตรียมสถานที่ทําค่ายรักษาในค่ายทหาร และสนามกีฬาเช่นเดียวกับแบบแรก

 

- เตรียมหน่วยทหาร โรงพยาบาลอาสา ตํารวจดับเพลิงและอาสาดับเพลิงและอาสาดับเพลิง รถขนผู้ติดเชื้อ เช่นเดียวกัน


- แบ่งโซนตรวจทีละอําเภอ หรือ หลายอําเภอ แล้วแต่ประชากร โดยจัดเวลาตรวจให้ชัดเจน เหมือนเดินผ่าน ตรวจแล้วเดินออกรอผลที่บ้าน โดยใช้Tack เลขบัตร และเบอร์โทรไม่ต้องลงข้อมูลอื่น ที่ไม่จําเป็น (เวลาตามผลใช้เลขบัตรเชื่อมเบอร์โทรติดต่อรับตัว)

 

- โดยผู้ที่ตรวจแล้วไม่พบเชื้อจะอยู่บ้านต่อ 1 สัปดาห์ ห้ามเคลื่อนย้ายเพื่อให้ทั้งโซนตรวจเสร็จ

 

- ผู้ติดเชื้อเข้าค่ายรับยารักษาตัว ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลยกเว้นผู้ที่มีโรคแทรกซ้อนหรือผู้ใช้ยาไม้ได้ผล

 

- หลังจากตรวจเสร็จคัดแยกทั้งโซน ในแต่ละโซนแล้วประชาชนในโซนนั้นๆ สามารถประกอบกิจการ งาน ใช้ชีวิตตามปกติ โดยไม่ต้องมีกฎระเบียบพิเศษใดๆ 

 

- เมื่อโซนใดๆ ตรวจเสร็จ จะใช้รหัสสีเขียว แต่ละโซน ที่มีรหัสเขียวจะสามารถเดินทางเชื่อมต่อค้าขาย และประกอบกิจการงานตามปกติโดยไม่ต้องกักตัว

 

- โซนใดที่ตรวจไม่เสร็จจะขึ้นสีเหลือง เพื่อไม่ให้เคลื่อนย้ายไปที่อื่น ผู้ที่เคลื่อนย้ายจากสีเหลือง ไปที่อื่นมีความผิดอาญาฐานไม่ปฏิบัติตามพรก.ควบคุมโรค

 

- จัดโซนรหัสเหลืองสําหรับผู้ที่รักษาตัวแล้วเพิ่งหาย

 

- ผู้ที่รักษาตัวในค่ายและโรงพยาบาลต้องอยู่รหัสสีแดง เท่านั้น เมื่อหายแล้วอยู่โซนรหัสเหลืองก่อน

 

- ผู้ที่รักษาตัวและผ่านรหัสเหลืองก่อนออกไป ต้องตรวจ swab อีกครั้ง

 

2.รัฐต้องให้

 

- สธ. ออกระเบียบฉุกเฉินผ่อนผัน การนําเข้ายา วัคซีนและเวชภัณฑ์เร่งด่วน ในสภาวะฉุกเฉิน โดยไม่ต้องใช้ระเบียบปกติของ อย. แต่ใช้เกณฑ์ที่ ยาวัคซีน และเวชภัณฑ์ประเภท นั้นๆ ได้รับการรับรองจาก WHO แล้วก็พอเพื่อนําวัคซีนเข้ามาให้ทันสถานการณ์และไม่ล่าช้า (หากล่าช้าปีหน้า อีก 6-7 เดือน ภูมิคุ้มกันของประชากรที่ฉีดวัคซีน รอบแรกๆ จะหมดไป ภูมิคุ้มกันของประชากรก็จะไม่ทัน 70% สักที คือไล่ไม่ทัน)

 

- อนุญาตให้ เอกชนนําเข้ายาและวัคซีน เพื่อใช้ในภาคเอกชนเองโดยเสรี ภายใต้งบประมาณของเอกชนเอง และ เอกชนต้องทําประกันเพื่อรองรับชดเชยผู้ที่มีปัญหาจากวัคซีน หรือยานั้นๆ เอง (ห้ามผลักภาระมาให้รัฐ ประกัน ต้องเป็นผู้ชดเชยหากพบปัญหา)

 

3.รัฐบาลให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ออกระเบียบผ่อนผัน การนําเข้าวัคซีน ยาและเวชภัณฑ์ ที่ WHO รับรอง ไม่จําเป็นต้องเสียเวลาตรวจสอบคุณภาพที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ลดความล่าช้าที่ไม่จําเป็น

 

4.รัฐ โดยกระทรวงมหาดไทย และแรงงานต้องร่วมมือกับทหาร คุมเข้มแรงงานเถื่อนและคนหลบหนีเข้าเมือง อย่าง จริงจัง รัฐต้องคาดโทษไล่ออก ต่อหน่วยงานที่หละหลวม โดยไม่มีข้อแม้ เพื่อป้องกันเชื้อเข้ามาใหม่ จัดหน่วยงาน ใช้โดรน ใช้เครื่องบิน ตรวจตราอย่าเข้มงวด (ค่าใช้จ่ายตรวจตราย่อมถูกกว่าค่ารักษา)

 

5.รัฐต้องไม่ยอมอ่อนข้อ ให้มีสายการบินจากประเทศที่มีการระบาด เข้ามาลงในประเทศไทย ไม่ว่ากรณีใดๆ (เพราะสถานการณ์เช่นนี้ทุกคนเข้าใจ)

 

6. Sinovac ที่สั่งมายังมีประโยชน์เพราะความปลอดภัยสูง ควรนํามาฉีดให้กับเด็กอายุ 3-17 ปี (ทางจีนประกาศให้ใช้ฉีดกับเด็กแล้ว) ซึ่งเด็กต้องการการกระตุ้นน้อย ได้วัคซีนเล็กน้อยภูมิก็สูงแล้ว (โดยสามารถใช้ขนาดเท่ากับวัคซีนไข้หวัดใหญ่) เด็กๆ ตั้งแต่อนุบาลขึ้นไปก็จะไปโรงเรียนได้

 

การแก้ไข 6 ประเด็นแบบนี้ ผมเชื่อว่าประเทศไทย จะดีขึ้นภายใน 1 เดือน และจะกลับสู่สภาวะปกติในไม่ เกิน 3 เดือนครับ