11 ข้อควรรู้วัคซีน Pfizer หมอเฉลิมชัยชี้ต้องเจือจางด้วยน้ำเกลือก่อนฉีด

30 ก.ค. 2564 | 08:17 น.

หมอเฉลิมชัยเผย 11 ข้อที่ควรรู้เกี่ยวกับวัคซีน Pfizer 1.54 ล้านโดส ที่มาถึวประเทศไทย ชี้เเป็นโควตารวมที่สหรัฐมอบให้กับทุกประเทศ ระบุต้องมีการเจือจางด้วยน้ำเกลือก่อนฉีด

รายงานข่าวระบุว่า น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า  
วัคซีน Pfizer 1.54 ล้านโดส มาถึงไทยเรียบร้อยแล้ว สาระสำคัญของวัคซีน Pfizer ที่ทุกคนควรทราบ
วันนี้ 30 กรกฎาคม 2564 ทางการสหรัฐอเมริกา ได้จัดส่งวัคซีน Pfizer ล็อตแรกจำนวน 1.54 ล้านโดสมาถึงกรุงเทพฯเรียบร้อยแล้ว
และจะมีล็อตที่สองตามมาอีก 1 ล้านโดส รวมเป็นวัคซีน Pfizer ที่สหรัฐฯ มอบให้ไทยโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 2.54 ล้านโดส
จากกรณีที่จะเริ่มมีการฉีดวัคซีน Pfizer ในประเทศไทยแล้ว จึงมีสาระสำคัญที่ควรรับรู้รับทราบ เพราะมีความสำคัญและแตกต่างกับวัคซีนเดิมอยู่ดังนี้
1.การได้รับวัคซีนในครั้งนี้ เป็นการประสานงานโดยตรงระหว่างรัฐกับรัฐ คือ กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา กับกระทรวงการต่างประเทศของประเทศไทย ซึ่งได้ดำเนินการมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว
2.วัคซีนที่สหรัฐอเมริกามอบให้ไทยในครั้งนี้ อยู่ในโควต้ารวมที่สหรัฐจะมอบให้กับทุกประเทศทั่วโลกจำนวน 80 ล้านโดส
3.สมาชิกวุฒิสภาลูกครึ่งไทยอเมริกัน Tammy Duckworth ได้แจ้งให้ทราบว่า ประเทศไทยจะได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านโดส จึงรวมเป็นวัคซีนทั้งสิ้น 2.54 ล้านโดส
4.วัคซีนของบริษัท Pfizer เป็นเทคโนโลยี mRNA ซึ่งมีความบอบบางมาก จึงต้องเก็บรักษาเป็นพิเศษ ที่อุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส
5.ที่อุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส จะเก็บรักษาวัคซีนได้นาน 6 เดือน แต่ถ้าเก็บไว้ในตู้เย็นธรรมดาที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส จะเก็บได้นานเพียงหนึ่งเดือน

6.การตรวจสอบวันหมดอายุของวัคซีน จึงมีความแตกต่างกับวัคซีน Sinovac และ AstraZeneca ซึ่งเก็บอยู่ที่อุณหภูมิตู้เย็นธรรมดา เพราะเมื่อย้ายวัคซีนของ Pfizer จากที่อุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส มาเก็บอยู่ในตู้เย็นธรรมดาแล้ว อายุการใช้งานจะเหลือเพียงหนึ่งเดือน ไม่สามารถจะใช้วันหมดอายุที่ติดอยู่ที่ขวดได้ และจะต้องเร่งดำเนินการฉีดให้หมดภายในหนึ่งเดือนดังกล่าว
7.จะต้องมีการเจือจางวัคซีนด้วยน้ำเกลือ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เพิ่มขึ้นมา แตกต่างกับวัคซีนของ Sinovac และ AstraZeneca ซึ่งสามารถดูดวัคซีนแล้วฉีดให้กับประชาชนได้โดยตรง

การจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์
แต่ของไฟเซอร์จะต้องนำมาทำการละลายจากจุดเยือกแข็ง แล้วเจือจางด้วยน้ำเกลือ
8.การฉีดแต่ละขวด จะฉีดได้ 6 โดสๆละ 0.3 ซีซี ซึ่งแตกต่างกับของ Sinovac ซึ่งฉีดหนึ่งโดส และของ AstraZeneca ซึ่งฉีด 12 โดส และปริมาณ 0.5 ซีซี
9.วัคซีน Pfizer พบผลข้างเคียงที่รุนแรงน้อยมากเช่นเดียวกับวัคซีนป้องกันโควิดของบริษัทอื่นๆ แต่สิ่งที่ควรทราบ เพราะมีความแตกต่างกันได้แก่
9.1 มีการแพ้รุนแรงแบบช็อก (Anaphylaxis) ซึ่งเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ โดยช่วงเริ่มต้นพบ 11 รายต่อ 1,000,000 โดส และในปัจจุบันพบ 4.7 รายต่อ 1,000,000 โดส ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง
9.2 พบมีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชายอายุน้อย
10.  จึงต้องมีการเตรียมการที่เพิ่มเติมจากการฉีดวัคซีน Sinovac และ AstraZeneca ได้แก่
10.1 ต้องมีการติวเข้มเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องการเก็บรักษาที่อุณหภูมิต่างๆ การเปลี่ยนแปลงวันหมดอายุ การวางทิ้งไว้เพื่อให้ละลายตัวก่อนการเจือจางวัคซีนลง และขนาดการฉีดวัคซีนที่เปลี่ยนแปลงไป
10.2 จะต้องวางแผนจัดการฉีด รวมทั้งการกระจายวัคซีน ต้องให้รวดเร็วเร่งฉีดให้ครบก่อนวันหมดอายุ
10.3 ต้องเตรียมการรองรับอย่างเต็มที่ เพื่อแก้ไขการแพ้แบบรุนแรง แม้จะเกิดขึ้นน้อย เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้คือ การแพ้แบบช็อก ซึ่งถ้าได้มีการเตรียมการไว้อย่างดี ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกราย

น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ

11.กลุ่มที่จะได้รับวัคซีน 1.54 ล้านโดสแรก ประกอบด้วย
11.1 บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า 700,000 คน หรือ 700,000 โดส
11.2 กลุ่มเสี่ยงที่ประกอบด้วยผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี และเจ็ดกลุ่มโรค 6.45 แสนโดส
11.3 กลุ่มชาวต่างประเทศที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง 1.5 แสนโดส
11.4 เพื่อใช้ในการทดลองศึกษาวิจัย 5000 โดส
11.5 สำรองไว้ตอบโต้การระบาดของไวรัสกลายพันธุ์ 40,000 โดส
ก็นับเป็นข่าวดี ที่จะได้มีวัคซีนเพิ่มเติมและหลากหลาย เป็นทางเลือก แต่จำเป็นจะต้องเข้าใจรายละเอียด
โดยเฉพาะการเตรียมการของวัคซีน Pfizer ซึ่งจะมีความยุ่งยากมากขึ้นและมีผลข้างเคียงที่แตกต่างไปจากวัคซีนเดิม
ซึ่งถ้าเตรียมการไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยดี
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 (Covid-19) ในประเทศไทยนั้น "ฐานเศรษฐกิจ" ติดตามข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลโควิด-19 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าตั้งวันที่ 28 ก.พ.-29 ก.ค. 64 มีการฉีดสะสมแล้วจำนวน 17,011,477 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 13,225,233 ราย และฉีดครบ 2 เข็มจำนวน 3,786,244 ราย