ตรวจสอบ ข้อกำหนดศบค.ฉบับที่ 28 ยกระดับ "ประกาศเคอร์ฟิว-ล็อกดาวน์" ล่าสุด เพิ่ม "พระนครศรีอยุธยา-ฉะเชิงเทรา-ชลบุรี" เป็นพื้นที่สีแดงเข้มอีก 3 จังหวัด มีข้อห้ามอะไรบ้างสรุปให้ที่นี่
จากกรณีที่มีการยกระดับประกาศเคอร์ฟิว และมาตรการล็อกดาวน์ ล่าสุด ในพื้นที่สีแดงเข้ม หรือพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
พบว่ามีการเพิ่มพื้นที่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดชลบุรี เป็นพื้นที่สีแดงเข้มอีก 3 จังหวัด
ทำให้มีพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือ พื้นที่สีแดงเข้ม ล่าสุดรวม 13 จังหวัด ประกอบด้วย
- กรุงเทพมหานคร
- จังหวัดฉะเชิงเทรา
- จังหวัดชลบุรี
- จังหวัดนครปฐม
- จังหวัดนนทบุรี
- จังหวัดนราธิวาส
- จังหวัดปทุมธานี
- จังหวัดปัตตานี
- จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
- จังหวัดยะลา
- จังหวัดสงขลา
- จังหวัดสมุทรปราการ
- จังหวัดสมุทรสาคร
ส่วนเงื่อนไข ข้อห้าม ข้อกำหนดของพื้นที่สีแดงเข้ม ระบุอยู่ใน "ข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 28)" ซึ่งลงนามโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 18 ก.ค.64 โดยสรุปข้อกำหนดที่สำคัญได้แก่
- การลดและจํากัดการเคลื่อนย้ายการเดินทาง ให้ประชาชนในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวดจํากัดหรืองดเว้นภารกิจที่ต้องเดินทางออกนอกเคหสถาน หรือที่พํานักโดยไม่จําเป็น
- ห้ามบุคคลใดในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดออกนอกเคหสถานในระหว่างเวลา 21.00 น. ถึง 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 14 วันนับแต่วันที่ข้อกําหนดฉบับนี้ใช้บังคับ ผู้ใดฝ่าฝืนข้อนี้ ย่อมมีความผิดและต้องระวางโทษตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
- ตั้งจุดตรวจ ด่านตรวจ หรือจุดสกัด ในเส้นทางคมนาคมเข้าออกเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดตามข้อกําหนดนี้ เป็นระยะเวลาต่อเนื่องอย่างน้อย 14 วัน
- การขนส่งสาธารณะจํากัดจํานวนผู้โดยสารที่ใช้บริการไม่เกินร้อยละห้าสิบของความจุผู้โดยสาร สําหรับยานพาหนะแต่ละประเภท รวมทั้งจัดให้มีการเว้นระยะห่างและการปฏิบัติตามมาตรการ ด้านสาธารณสุขที่ทางราชการกําหนดอย่างเคร่งครัด โดยพิจารณาจัดการให้บริการขนส่งสาธารณะ ให้เพียงพอต่อความจําเป็นและตามเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอํานวยความสะดวกการขนส่งประชาชนเพื่อรับบริการฉีดวัคซีนและบริการทางการแพทย์
- ห้ามจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ห้ามจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มกันของบุคคลที่มีจํานวนรวมกันมากกว่าห้าคน โดยให้หน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนจัดการอบรม สัมมนา หรือการประชุมโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก
- การปฏิบัติงานของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ให้ดําเนินมาตรการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งขั้นสูงสุดเต็มจํานวน และมุ่งเน้นการปฏิบัติงาน หรือจัดกิจกรรมโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ให้มากที่สุด เพื่อลดจํานวนและจํากัดการเคลื่อนย้ายเดินทาง ของบุคคล สําหรับการปฏิบัติงาน ณ สถานที่ตั้งของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ให้เปิดให้บริการ เฉพาะภารกิจที่เกี่ยวข้องกับบริการสาธารณสุข การควบคุมโรค กิจการที่เกี่ยวข้องกับระบบสาธารณูปโภค การจราจร การบรรเทาสาธารณภัย การรักษาความสงบเรียบร้อย หรืองานที่มีกําหนดเวลาปฏิบัติชัดเจน และได้นัดหมายไว้แล้วล่วงหน้า
- สําหรับการปฏิบัติงานของภาคเอกชนในช่วงระยะเวลานี้ จําเป็นต้องให้เจ้าหน้าที่และบุคลากร ปฏิบัติตามมาตรการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งขั้นสูงสุดเช่นเดียวกัน เพื่อให้บรรดามาตรการต่าง ๆ ที่กําหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวมนี้ โดยเฉพาะการลดและจํากัดการเคลื่อนย้ายการเดินทางของบุคคล สามารถเกิดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนมาตรการป้องกันโรคที่กําหนดที่เข้มงวดยิ่งขึ้นจากที่ได้เคยกําหนดไว้แล้ว มี ดังนี้
- การจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ร้านจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ให้เปิดดําเนินการได้ จนถึงเวลา 20.00 น. โดยห้ามการบริโภคในร้าน และให้ดําเนินการเฉพาะการนํากลับไปบริโภค ที่อื่นเท่านั้น
- ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบการอื่น ที่มีลักษณะ คล้ายกัน ให้เปิดให้บริการได้เฉพาะแผนกซูเปอร์มาร์เก็ต แผนกยาและเวชภัณฑ์ พื้นที่ซึ่งจัดให้เป็น การให้บริการฉีดวัคซีนหรือบริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขอื่น ๆ ของภาครัฐ โดยให้เปิดดําเนินการได้ จนถึงเวลา 20.00 น.
- โรงแรม ให้เปิดดําเนินการได้ตามเวลาปกติ โดยให้งดกิจกรรมจัดการประชุม การสัมมนา หรือการจัดเลี้ยง
- ร้านสะดวกซื้อ และตลาดสด ให้เปิดดําเนินการได้จนถึงเวลา 20.00 น. โดยจํากัดเวลา สําหรับร้านสะดวกซื้อซึ่งตามปกติเปิดให้บริการในช่วงเวลากลางคืน ให้ปิดให้บริการในระหว่างเวลา 20.00 น. ถึง 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น
- โรงเรียน สถาบันการศึกษาหรือฝึกอบรม และสถานศึกษาต่าง ๆ ให้ปฏิบัติตามมาตรการ ที่ได้ประกาศไว้แล้วก่อนหน้านี้
สําหรับการดําเนินการของโรงพยาบาล สถานพยาบาล คลินิกแพทย์รักษาโรค ร้านขายยา ร้านค้าทั่วไป โรงงาน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกรรมการเงิน ธนาคาร ตู้เอทีเอ็ม ธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม ไปรษณีย์และพัสดุภัณฑ์ ร้านจําหน่ายอาหารสัตว์ ร้านขายยาและเวชภัณฑ์ ร้านจําหน่ายเครื่องมือช่าง และอุปกรณ์ก่อสร้าง
ร้านจําหน่ายสินค้าเบ็ดเตล็ดอันจําเป็น สถานที่จําหน่ายแก๊สหุงต้ม เชื้อเพลิง ปั้มน้ํามัน ปั้มแก๊ส รวมทั้งบริการส่งสินค้าและอาหารตามสั่ง (delivery online) ยังคงเปิดดําเนินการได้ ตามความจําเป็น โดยให้ผู้เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกําหนดอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป เว้นเฉพาะมาตรการขนส่งสาธารณะ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป