ยกระดับ“ล็อกดาวน์" ขยายเวลาเคอร์ฟิว ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผล 20 ก.ค.นี้

18 ก.ค. 2564 | 01:35 น.

นายกฯออกประกาศยกระดับล็อกดาวน์ฉบับล่าสุดมีผล 20 ก.ค.นี้ ปรับเพิ่มจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มเป็น 13 จังหวัด จำกัดการเดินทางประชาชน ขยายเวลาเคอร์ฟิวเพิ่มอีก 14 วัน พร้อมให้อำนาจผู้ว่าฯในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดสั่งปิดสถานที่หรือกิจการที่มีความเสี่ยงเพิ่ม

18 ก.ค. 2564 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ข้อ ข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 28) ซึ่งลงนามโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อยกระดับล็อกดาวน์ เพิ่มความเข้มข้นของมาตรการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 และการบังคับใช้อย่างจริงจังเพิ่มเติมขึ้น ระบุว่า

 

ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563 และต่อมาได้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวออกไป อย่างต่อเนื่องเป็นระยะ นั้น

 

โดยที่สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโควิด - 19 ที่มีการกลายพันธุ์เป็นหลายสายพันธุ์ ยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเสี่ยงที่จะเกิดภาวะวิกฤติด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งรัฐบาลโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ ได้ดําเนินการ อย่างเข้มแข็งและจริงจังในการเพิ่มศักยภาพด้านการตรวจคัดกรอง การรักษาพยาบาล และการเร่งรัด การจัดฉีดวัคซีนให้กับประชาชน

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้มีการประเมินสถานการณ์ภายหลังการมีผลใช้ บังคับของข้อกําหนด (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 ปรากฏว่ายังไม่อาจชะลออัตรา การเพิ่มของจํานวนผู้ติดเชื้อและจํานวนผู้ป่วยที่ต้องเฝ้าระวังอาการโดยเฉพาะในกลุ่มเสียงที่เป็นผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และกลุ่มผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และภูมิภาคหลายจังหวัด ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มต่อเนื่อง ซึ่งมักเป็นการติดเชื้อจากการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในครอบครัว และชุมชน ดังนั้น จึงจําเป็นต้องยกระดับความเข้มข้นของมาตรการและการบังคับใช้อย่างจริงจังเพิ่มเติมขึ้น จากข้อกําหนดที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้า เพื่อเร่งแก้ไขและบรรเทาสถานการณ์ฉุกเฉินให้คลี่คลายลงโดยเร็วที่สุด

 

อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 นายกรัฐมนตรีจึงออกข้อกําหนดและข้อปฏิบัติแก่ส่วนราชการทั้งหลาย ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ความมุ่งหมายของมาตรการ มาตรการและข้อปฏิบัติต่าง ๆ ในข้อกําหนดฉบับนี้มุ่งหมาย เพื่อกําหนดมาตรการที่จําเป็นและต้องเร่งดําเนินการโดยด่วน เพื่อลดการออกนอกเคหสถานของประชาชน อันเป็นเหตุให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่ของโรคติดเชื้อโควิด - 19 โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดปริมณฑล และจังหวัดที่ได้กําหนดเป็นเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เนื่องจากมีจํานวน ผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น

 

และโดยส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อโรคกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลต้าที่แพร่ระบาด ได้อย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตและสุขภาพ โดยเฉพาะบุคคลกลุ่มเสียงทั้งผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่แม้บุคคลเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ประจําในที่พํานัก แต่ประวัติการสัมผัสเชื้อ มักเกิดขึ้นในครอบครัว โดยการติดต่อสัมผัสกับบุคคลที่ได้มีการเดินทาง ซึ่งจากข้อมูลพบว่า การติดเชื้อ และแพร่ระบาดในครอบครัวและเขตชุมชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีอัตราเพิ่มจํานวนขึ้นสูงมาก แม้จะได้มีการเร่งฉีดวัคซีนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่แล้วก็ตามแต่ย่อมต้องอาศัยระยะเวลาเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ที่ไม่อาจเกิดขึ้นโดยเร็ว สิ่งที่ต้องร่วมมือกันในเวลานี้ คือ ชะลออัตราการระบาดที่รุนแรงของโรค โดยต้องหยุดยั้งการกระทําใด ๆ ก็ตามที่เป็นความเสี่ยงหรือเป็นเหตุให้เชื้อโรคแพร่ระบาดออกไป
พื้นที่โซนสีคุมการระบาดโควิด

ข้อ 2 การปรับปรุงเขตพื้นที่จังหวัดตามพื้นที่สถานการณ์ กําหนดปรับปรุงเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดขึ้นใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนครปฐม จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดสงขลา โดยให้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) (ศบค.) มีคําสั่งปรับปรุงเขตพื้นที่จังหวัดจําแนก ตามเขตพื้นที่สถานการณ์เสียใหม่ และให้นํามาตรการควบคุมแบบบูรณาการที่กําหนดไว้สําหรับพื้นที่ สถานการณ์ระดับต่าง ๆ ข้อห้าม และข้อปฏิบัติตามข้อกําหนด (ฉบับที่ 24) ลงวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2564 ข้อกําหนด (ฉบับที่ 25) ลงวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2564 และข้อกําหนด (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 มาใช้บังคับเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดนี้

 

ข้อ 3 การลดและจํากัดการเคลื่อนย้ายการเดินทาง ให้ประชาชนในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวดที่ได้มีคําสั่งตามข้อ 2 เลี่ยง จํากัด หรืองดเว้นภารกิจที่ต้องเดินทางออกนอกเคหสถาน หรือที่พํานักโดยไม่จําเป็น

 

สําหรับการเดินทางในบางกรณีที่จําเป็น เช่น การเดินทางเพื่อจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็น ต่อการดํารงชีวิต อาหาร ยาหรือเวชภัณฑ์ การเดินทางเพื่อพบแพทย์ เพื่อเข้ารับบริการทางการแพทย์ และสาธารณสุข การรักษาพยาบาล การรับวัคซีนป้องกันโรค หรือมีความจําเป็นเพื่อปฏิบัติงาน หรือการประกอบอาชีพที่ไม่สามารถปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งได้ สามารถกระทําได้แต่ต้องพึ่งใช้ ความระมัดระวังในการป้องกันตนเองตามคําแนะนําของพนักงานเจ้าหน้าที่ และปฏิบัติตามมาตรการ ป้องกันโรคที่ทางราชการกําหนดอย่างเคร่งครัด

 

ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ โดยการสนับสนุนของกรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดําเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจน อาสาสมัครและจิตอาสา ในการให้ความช่วยเหลือและกระจายสิ่งอุปโภคบริโภคที่จําเป็นแก่ประชาชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน

ข้อ 4 กําหนดพื้นที่ห้ามออกนอกเคหสถานเพิ่มเติม เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ห้ามบุคคลใดในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดออกนอกเคหสถานในระหว่างเวลา 21.00 นาฬิกา ถึง 04.00 นาฬิกา ของวันรุ่งขึ้น ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาอย่างน้อยสิบสี่วันนับแต่วันที่ข้อกําหนดฉบับนี้ ใช้บังคับ โดยให้เป็นไปตามเงื่อนไขการปฏิบัติของพนักงานเจ้าหน้าที่และการกําหนดบุคคลที่ได้รับยกเว้น การห้ามออกนอกเคหสถานตามข้อกําหนด (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

 

ผู้ใดฝ่าฝืนข้อนี้ ย่อมมีความผิดและต้องระวางโทษตามพระราชกําหนดการบริหารราชการ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548

 

ข้อ 5 การกําหนดเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมและการตรวจคัดกรองการเดินทาง เฉพาะเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เพื่อประโยชน์ในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ให้พนักงานเจ้าหน้าที่โดยการสนับสนุนจากศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งจุดตรวจ ด่านตรวจ หรือจุดสกัด ในเส้นทางคมนาคมเข้าออกเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดตามข้อกําหนดนี้

 

โดยเน้นการปฏิบัติ เพื่อการคัดกรอง ชะลอหรือสกัดกั้นการเดินทางออกนอกเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดเพื่อเดินทาง ไปยังพื้นที่อื่น โดยให้เป็นไปตามแนวทางที่ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 (ศปก.ศบค.) กําหนด เป็นระยะเวลาต่อเนื่องอย่างน้อยสิบสี่วัน และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติ ตามมาตรการ ข้อห้าม ข้อยกเว้น หรือแนวทางที่กําหนดไว้ในข้อกําหนด (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 ข้อกําหนด (ฉบับที่ 25) ลงวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2564 

 

ทั้งนี้ ให้นํากรณีหรือบุคคลที่ได้รับยกเว้นตามข้อ 4 และข้อ 5 ของข้อกําหนด (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 มาใช้โดยอนุโลม

 

ข้อ 6 การขนส่งสาธารณะ ให้กระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร จังหวัด หรือหน่วยงาน ที่รับผิดชอบกํากับดูแลการให้บริการขนส่งผู้โดยสารสาธารณะทุกประเภทในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด และการขนส่งสาธารณะทุกประเภทระหว่างจังหวัดทั่วราชอาณาจักรให้เป็นไปตามแนวทาง ที่ ศปก.ศบค. กําหนด

 

โดยจํากัดจํานวนผู้โดยสารที่ใช้บริการไม่เกินร้อยละห้าสิบของความจุผู้โดยสาร สําหรับยานพาหนะแต่ละประเภท รวมทั้งจัดให้มีการเว้นระยะห่างและการปฏิบัติตามมาตรการ ด้านสาธารณสุขที่ทางราชการกําหนดอย่างเคร่งครัด โดยพิจารณาจัดการให้บริการขนส่งสาธารณะ ให้เพียงพอต่อความจําเป็นและตามเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอํานวยความสะดวกการขนส่งประชาชนเพื่อรับบริการฉีดวัคซีนและบริการทางการแพทย์

 

ข้อ 7 มาตรการควบคุมแบบบูรณาการเร่งด่วนเฉพาะในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหรือผู้ว่าราชการจังหวัด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อ กรุงเทพมหานครหรือคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด แล้วแต่กรณี พิจารณาดําเนินการตามกฎหมาย ว่าด้วยโรคติดต่อ เพื่อมีคําสั่งปิดสถานที่หรือกิจการที่มีความเสี่ยงเพื่อประโยชน์ในการควบคุมและป้องกัน การแพร่ของโรคติดเชื้อโควิด - 19 โดยให้ดําเนินการต่อเนื่องอย่างน้อยเป็นระยะเวลาสิบสี่วัน โดยสําหรับ การให้บริการดังต่อไปนี้ ให้เปิดดําเนินการได้เฉพาะภายใต้เงื่อนไข เงื่อนเวลา การจัดระบบ ระเบียบ และมาตรการป้องกันโรคที่กําหนดที่เข้มงวดยิ่งขึ้นจากที่ได้เคยกําหนดไว้แล้ว

 

(1) การจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ร้านจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ให้เปิดดําเนินการได้ จนถึงเวลา 20.00 นาฬิกา โดยห้ามการบริโภคในร้าน และให้ดําเนินการเฉพาะการนํากลับไปบริโภค ที่อื่นเท่านั้น

 

(2) ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบการอื่น ที่มีลักษณะ คล้ายกัน ให้เปิดให้บริการได้เฉพาะแผนกซูเปอร์มาร์เก็ต แผนกยาและเวชภัณฑ์ พื้นที่ซึ่งจัดให้เป็น การให้บริการฉีดวัคซีนหรือบริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขอื่น ๆ ของภาครัฐ โดยให้เปิดดําเนินการได้ จนถึงเวลา 20.00 นาฬิกา

 

(3) โรงแรม ให้เปิดดําเนินการได้ตามเวลาปกติ โดยให้งดกิจกรรมจัดการประชุม การสัมมนา หรือการจัดเลี้ยง

 

(4) ร้านสะดวกซื้อ และตลาดสด ให้เปิดดําเนินการได้จนถึงเวลา 20.00 นาฬิกา โดยจํากัดเวลา สําหรับร้านสะดวกซื้อซึ่งตามปกติเปิดให้บริการในช่วงเวลากลางคืน ให้ปิดให้บริการในระหว่างเวลา 20.00 นาฬิกา ถึง 04.00 นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น

 

(5) โรงเรียน สถาบันการศึกษาหรือฝึกอบรม และสถานศึกษาต่าง ๆ ให้ปฏิบัติตามมาตรการ ที่ได้ประกาศไว้แล้วก่อนหน้านี้

 

สําหรับการดําเนินการของโรงพยาบาล สถานพยาบาล คลินิกแพทย์รักษาโรค ร้านขายยา ร้านค้าทั่วไป โรงงาน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกรรมการเงิน ธนาคาร ตู้เอทีเอ็ม ธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม ไปรษณีย์และพัสดุภัณฑ์ ร้านจําหน่ายอาหารสัตว์ ร้านขายยาและเวชภัณฑ์ ร้านจําหน่ายเครื่องมือช่าง และอุปกรณ์ก่อสร้าง ร้านจําหน่ายสินค้าเบ็ดเตล็ดอันจําเป็น สถานที่จําหน่ายแก๊สหุงต้ม เชื้อเพลิง ปั้มน้ํามัน ปั้มแก๊ส รวมทั้งบริการส่งสินค้าและอาหารตามสั่ง (delivery online) ยังคงเปิดดําเนินการได้ ตามความจําเป็น โดยให้ผู้เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกําหนดอย่างเคร่งครัด

 

ข้อ 8 ห้ามจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ห้ามจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มกันของบุคคลที่มีจํานวนรวมกันมากกว่าห้าคน โดยให้เป็นไปตามข้อห้าม และข้อยกเว้นตามข้อกําหนด (ฉบับที่ 24) ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2564 โดยให้หน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนจัดการอบรม สัมมนา หรือการประชุมโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก

 

กิจกรรมรวมกลุ่มของบุคคลที่พนักงานเจ้าหน้าที่เคยอนุญาตให้จัดกิจกรรมได้ตามข้อกําหนด ที่ได้ประกาศไว้แล้วก่อนหน้านี้ หากประสงค์จะจัดกิจกรรมในช่วงระยะเวลานี้ให้ผู้รับผิดชอบ การจัดกิจกรรมดังกล่าวดําเนินการขออนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบและทบทวนมาตรการ ป้องกันโรคในการจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับห้วงเวลาและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ ให้เป็นไป ตามแนวปฏิบัติที่ ศปก.ศบค. กําหนด

 

ข้อ 9 การปฏิบัติงานของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ให้หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด สั่งการให้เจ้าหน้าที่และบุคลากร ในความรับผิดชอบดําเนินมาตรการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งขั้นสูงสุดเต็มจํานวน และมุ่งเน้นการปฏิบัติงาน หรือจัดกิจกรรมโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ให้มากที่สุด เพื่อลดจํานวนและจํากัดการเคลื่อนย้ายเดินทาง ของบุคคล รวมทั้งให้งดการจัดกิจกรรมที่ส่งผลให้เกิดการรวมกลุ่มหรือเคลื่อนที่ของคนจํานวนมาก เช่น การจัดประชุม สัมมนา การจัดสอบ หรือจัดฝึกอบรม ทั้งนี้ ให้หัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ พิจารณาอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ณ สถานที่ตั้งได้เฉพาะเท่าที่จําเป็นเท่านั้น

 

สําหรับการปฏิบัติงาน ณ สถานที่ตั้งของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ให้เปิดให้บริการ เฉพาะภารกิจที่เกี่ยวข้องกับบริการสาธารณสุข การควบคุมโรค กิจการที่เกี่ยวข้องกับระบบสาธารณูปโภค การจราจร การบรรเทาสาธารณภัย การรักษาความสงบเรียบร้อย หรืองานที่มีกําหนดเวลาปฏิบัติชัดเจน และได้นัดหมายไว้แล้วล่วงหน้า และเป็นการปฏิบัติงานที่สามารถดําเนินการได้ภายใต้มาตรการป้องกันโรค โดยให้พิจารณาดําเนินการตามความจําเป็นและเหมาะสมที่กําหนดไว้ในข้อกําหนด (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

 

สําหรับการปฏิบัติงานของภาคเอกชนในช่วงระยะเวลานี้ จําเป็นต้องให้เจ้าหน้าที่และบุคลากร ปฏิบัติตามมาตรการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งขั้นสูงสุดเช่นเดียวกัน เพื่อให้บรรดามาตรการต่าง ๆ ที่กําหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวมนี้ โดยเฉพาะการลดและจํากัดการเคลื่อนย้ายการเดินทางของบุคคล สามารถเกิดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ข้อ 10 การบูรณาการและประสานงาน เพื่อให้การแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินสามารถยุติลงได้ โดยรวดเร็ว ควบคู่ไปกับการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด - 19 ให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และศูนย์ปฏิบัติการต่าง ๆ ภายใต้ ศบค. พิจารณามาตรการและเร่งรัด การปฏิบัติตามหน้าที่และอํานาจอย่างเข้มข้นเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่รวดเร็วและชัดเจนเป็นรูปธรรม รวมทั้ง สนับสนุนการปฏิบัติงานของ ศปก.ศบค. ตามที่ได้รับการร้องขอหรือประสานงาน

 

ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการดําเนินการของประชาชนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือศูนย์ปฏิบัติการต่าง ๆ ภายใต้ ศบค. พิจารณากลั่นกรองและทําความเห็นเบื้องต้น ก่อนหารือมายัง ศปก.ศบค. เพื่อพิจารณา เพื่อให้การบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นไปด้วยความรอบคอบ และมีประสิทธิภาพด้วย

 

ข้อ 11 การบังคับใช้มาตรการตามข้อกําหนด ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบและกํากับ การปฏิบัติตามมาตรการ ข้อห้าม และข้อปฏิบัติตามข้อกําหนดนี้เป็นระยะเวลาต่อเนื่องอย่างน้อยสิบสี่วัน (จนถึงวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2564) โดยให้ประเมินสถานการณ์และความเหมาะสมของมาตรการ ตามข้อกําหนดนี้ทุกห้วงระยะเวลาเจ็ดวัน แต่การเตรียมการด้านบุคลากร สถานที่ และการประชาสัมพันธ์ เพื่อแจ้งเตือนให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมเป็นการล่วงหน้าให้ทําได้ตลอดเวลา

 

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป เว้นเฉพาะมาตรการขนส่งสาธารณะ ตามข้อ 6 ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

ยกระดับ“ล็อกดาวน์" ขยายเวลาเคอร์ฟิว ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผล 20 ก.ค.นี้

ยกระดับ“ล็อกดาวน์" ขยายเวลาเคอร์ฟิว ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผล 20 ก.ค.นี้

ยกระดับ“ล็อกดาวน์" ขยายเวลาเคอร์ฟิว ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผล 20 ก.ค.นี้

ยกระดับ“ล็อกดาวน์" ขยายเวลาเคอร์ฟิว ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผล 20 ก.ค.นี้

ยกระดับ“ล็อกดาวน์" ขยายเวลาเคอร์ฟิว ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผล 20 ก.ค.นี้

ที่มา: ราชกิจจานุเบกษา ข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 28)