ยโสธรได้ฤกษ์ทำพิธีเทวาภิเษกรูปหล่อองค์พญาแถน จัดพิธีบวงสร้างอัญเชิญประดิษฐานที่วิมานพญาแถน วันที่ 3 และวันที่ 5 กันยายน 2563 นี้ ต่อเนื่องจากที่ได้สร้างพิพิธภัณฑ์พญาคันคากริมแม่น้ำทวน จนโดดเด่นสะดุดตาเป็นแลนด์มาร์คของเมืองไว้ก่อนหน้าแล้ว
วันที่ 20 ส.ค.2563 เมื่อเวลา 15.00 น. นายประเสริฐ ลือชาธนานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างรูปหล่อองค์พญาแถน และคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ในการเตรียมจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเทวาภิเษก รูปหล่อองค์พญาแถน พิธิบวงสรวงอัญเชิญประดิษฐาน และสักการะรูปหล่อองค์พญาแถน ในวันที่ 3 และวันที่ 5 กันยายน 2563 โดยมีนางสาวสิริมา วัฒโน รองผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และภาคประชาชน เข้าร่วมประชุมที่ห้องประชุมข้าวหอมมะลิอินทรีย์ ศาลากลางจังหวัดยโสธร
ที่ประชุมได้กำหนดจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และเทวาภิเษกรูปหล่อองค์พญาแถน พิธีบวงสรวงอัญเชิญประดิษฐานและสักการะรูปหล่อองค์พญาแถน ในวันที่ 3 และวันที่ 5 กันยายน 2563 มีรายละเอียด ดังนี้
วันที่ 3 กันยายน 2563 พิธีเจริญพระพุทธมนต์สมโภชและเทวาภิเษกรูปหล่อองค์พญาแถน ณ หอประชุมวิถีอีสาน ศาลากลางจังหวัดยโสธร ตั้งแต่เวลา 14.30 น. เป็นต้นไป ผู้ร่วมพิธีแต่งกายชุดปฎิบัติธรรมสีขาว
วันที่ 5 กันยายน 2563 เชิญร่วมพิธีบวงสรวงอัญเชิญประดิษฐานและสักการะรูปหล่อองค์พญาแถน ณ สถานที่ท่องเที่ยววิมานพญาแถน อำเภอเมืองยโสธร ตั้งแต่เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป ผู้ร่วมพิธีแต่งกายเสื้อสีฟ้าหรือสีชมภู
จังหวัดยโสธร จึงขอเชิญชวนชาวยโสธร รวมใจ ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเทวาภิเษก รูปหล่อองค์พญาแถน พิธีบวงสรวงอัญเชิญประดิษฐานและสักการะรูปหล่อองค์พญาแถน ในวันที่ 3 และวันที่ 5 กันยายน 2563 นี้ เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตและร่วมสืบสานวัฒนธรรม ประเพณีและความศรัทธาที่มีต่อองค์พญาแถน
จังหวัดยโสธรมีแผนจัดตั้งพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประเพณีบุญบั้งไฟ 3 พิพิธภัณฑ์ ที่จัดสร้างไปแล้วเป็นแห่งแรกคือ พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก ตามมาด้วยพิพิธภัณฑ์พญาแถนที่จะมีพิธีเทวิภิเษกและประดิษฐาน ยังเหลือพิพิธภัณฑ์พญานาค ที่อยู่ในแผนจัดสร้างต่อไป
"พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก" หรือบางคนอาจจะเรียกว่า "พิพิธภัณฑ์พญาคางคก" ตั้งอยู่ริมแม่น้ำทวน เป็นพิพิธภัณฑ์รูปร่างแปลกสุดในประเทศไทย คือ อาคารรูปคางคก ตามตำนานพื้นเมืองอีสานเกี่ยวกับพญาคางคกเป็นที่มาของประเพณีบั้งไฟ ตัวอาคารมีขนาดตึก 5 ชั้น ภายในจัดแสดงเรื่องราวด้านวิทยาศาสตร์และความหลากหลายทางชีวภาพ ภายในมีนิทรรศการบอกเรื่องเกี่ยวกับที่มาของบั้งไฟโดยมีการจัดฉายเป็นภาพยนตร์ 4 มิติ และนิทรรศการเกี่ยวกับคางคกชนิดต่าง ๆ ที่พบได้ในเมืองไทย ที่มีอยู่กว่า 20 ชนิด ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ อพวช. ร่วมศึกษากับมหาวิทยาลัยขอนแก่น รวมทั้งมีการเพิ่มการจัดแสดงคางคกชนิดต่าง ๆ ที่พบได้ทั่วโลก ซึ่งมีกว่า 500 ชนิดร่วมด้วย
ตำนานพญาคันคากยกรบเล่ากันไว้ว่า "พญาคันคาก" เป็นโอรสของกษัตริย์ แต่มีผิวพรรณเหมือนคางคก ซึ่งภาษาอีสานเรียกว่า "คันคาก" แต่ด้วยมีบุญญาธิการมากจึงได้รับการช่วยเหลือจากพระอินทร์ รวมทั้งเป็นที่นับถือของชาวบ้าน ซึ่งตามตำนานชาวอีสานเชื่อว่าโลกมีโลกมนุษย์และโลกเทวดา โดยโลกมนุษย์อยู่ใต้โลกเทวดา และเรียกเทวดาว่า "แถน" ส่วนฟ้าฝนหรือลมนั้นเป็นอิทธิพลของแถน การที่พญาแถนไม่ปล่อยฝนให้ตกลงบนโลกมนุษย์ทำให้พญาคันคาก อาสานำสัตว์ต่าง ๆ เช่น ช้าง, ม้า, วัว, ควาย, ปลวก, ผึ้ง และต่อแตน ขึ้นไปรบกับพญาแถนจนชนะ และปล่อยให้ฝนตกตามเดิม แต่มีข้อแม้ว่าต้องจุดบั้งไฟขึ้นไปบอกกล่าวทุกปี จนกลายมาเป็นที่มาของประเพณีบั้งไฟในปัจจุบัน