ยันไม่ใช่ “นักการทูต เอสโตเนีย” กงสุลใหญ่ ชี้เป็นคนของ “อียู”

17 ก.ค. 2563 | 11:45 น.

กงสุลใหญ่ฯ ชี้แจงกรณีคอนโดฯปฏิเสธนักการทูตเข้าอาคาร ยัน ไม่ใช่ “นักการทูตเอสโตเนีย” แต่เป็นนักการทูตจาก "อียู"

จากกรณีที่มีรายงานข่าวระบุว่า นักการทูตสัญชาติเอสโตเนีย พยายามเข้าพักในคอนโดมิเนียมหรูแห่งหนึ่งหลังจากเดินทางกลับจากต่างประเทศ แต่ถูกนิติบุคคลปฏิเสธนั้น ไม่ใช่คนที่อยู่ภายใต้การดูแลของสถานกงสุล

 

วันที่ 17 ก.ค. 63 นายวีระชัย เตชะวิจิตร์ กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์เอสโตเนีย ประจำกรุงเทพมหานคร ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า แถลงข่าวเบื้องต้นจากดร. วีระชัย เตชะวืจิตร์ กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์เอสโตเนียประจำกรุงเทพมหานคร

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เจรจาวุ่น "วีไอพี" สถานทูตเอสโตเนีย จะเข้าพักคอนโดกลางกรุง โดนปฏิเสธ  

 

ขอชี้แจงเรื่องข่าวบิดเบือนที่ว่านักการทูตเอสโตเนียเข้าเมืองไทยในฐานะนักการทูตเอสโตเนีย

โดยข้อเท็จจรืงปรากฎว่าท่านนี้เป็นนัการทูตของ European Union (EU) ประจำประเทศไทย จึงถือว่าอยูในความรับผิดชอบของ EU  ดังนั้น EU จึงต้องปฎิบัติตามกฎระเบียบของ ศบค.อย่างเคร่งครัด ทั้งประเทศเอสโตเนียและสถานกงสุลใหญ่ของข้าพเจ้าไม่ทราบการเข้าออกประเทศไทย และจะเข้าไปก้าวก่ายการปฎิบัติราชการของ EUไม่ได้

 

คาดว่าวันนี้ทาง EU หรือกระทรวงต่างประเทศ หรือ โฆษกของ ศบค. คง จะได้แถลงข้อเท็จจรืงของความสับสนนี้ให้ทราบต่อไป

สถานกงสุลใหญ่สาธารณรัฐเอสโตเนีย
กรุงเทพมหานคร 
วันที่ 17  กรกฎาคม ค.ศ. 2020

ด้าน นายเชิดเกียรติ อัตถากร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กรณีนักการทูตตะวันตกซึ่งปฏิบัติหน้าที่ประจำประเทศไทย และเดินทางกลับมาไทยหลังจากลาไปยุโรป โดยเดินทางออกจากนครแฟร้งค์เฟิร์ตเมื่อวันที่ 15ก.ค.เวลา 22.00 น. มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิวันที่ 16 ก.ค.เวลา14.00 น.

นายเชิดเกียรติ อัตถากร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ

 

ทั้งนี้ก่อนจะขึ้นเครื่องเข้าไทยได้มีการตรวจหาเชื้อโควิด-19แล้วมีผลเป็นลบ เมื่อมาถึงสุวรรณภูมิได้มีการตรวจโควิด-19อีกครั้งผลยืนยันเป็นลบ เมื่อทราบผลแล้วจึงเดินทางไปที่พักซึ่งเป็นสถานที่กักตัว14วันตามที่หน่วยงานกำหนด ระหว่างเดินทางจากสนามบินไปยังที่พักได้มีการจัดรถเป็นกรณีพิเศษ มีฉากกั้นระหว่างคนขับกับนักการทูตซึ่งนั่งเพียงคนเดียว ส่วนเจ้าหน้าที่สำนักงานการทูตได้นั่งรถของสำนักงานตามไป แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเดินทางถึงที่พักได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่นิติบุคคลว่า คณะกรรมการนิติบุคคลมีมติไม่ให้นักการทูตเข้าพัก หลังจากนั้นมีการประสานมายังกระทรวงการต่างประเทศจนได้ข้อยุติให้นักการทูตไปพักที่โรงแรงที่เป็นสถานที่กักกันที่รัฐกำหนด
 

เมื่อถามว่าจากกรณีนี้มีความกังวลว่าจะมีนักการทูตในเคสอื่นด้วยหรือไม่ นายเชิดเกียรติ กล่าวว่า กรณีนี้นักการทูตเข้ามาเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเชื่อว่าจะมีมาเป็นระยะแต่ไม่ใช่จำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามการเข้ามาต้องอยู่ภายใต้กรอบและกฎระเบียบของศบค. หลายท่านมักพูดว่าการเข้ามาของนักการทูตเป็นวีไอพีหรือเป็นเอกสิทธิ์การคุ้มกัน

 

"ขอเรียนว่านักการทูตไม่ใช่วีไอพี ไม่ได้มีอภิสิทธิ์เกินกว่าที่ควรจะเป็น เขายังอยู่ภายใต้การกักตัว 14 วันเช่นกัน แต่จะได้รับการคุ้มครองตามอนุสัญญาเวียนนา ซึ่งเป็นการคุ้มครองเพื่อให้สามารถปฎิบัติหน้าที่ในประเทศของเราอย่างมีประสิทธิ์ภาพในฐานะตัวแทนการทูต ในฐานะผู้แทนของรัฐแต่อย่างไรก็ตามภายใต้อนุสัญญาเวียนนานักการทูตต้องเคารพและปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมายของประเทศเจ้าบ้านด้วย ดังนั้นต้องปฏิบัติตามมาตรการของศบค. ทั้งนี้ในช่วงเปลี่ยนผ่านของระเบียบจะต้องใช้ตามระเบียบเดิมคือใช้ที่พักเป็นที่กักกัน14วันตามหน่วยงานต้นสังกัด โดยหลังเกิดเหตุการณ์เด็กหญิง 9 ขวบซูดานเราได้เรียนให้คณะทูตได้ทราบว่ามีการเพิ่มมาตรการ เช่นการตรวจที่สนามบินขอให้รอผล เป็นลบถึงจะออกจากสนามบินได้ เป็นต้น"

เมื่อถามว่า ระหว่างการปรับเปลี่ยนมาตรการคุมเข้ม หลังเกิดเหตุการณ์ครอบครัวทูตซูดาน ในช่วงระหว่างรอยต่อนี้มีครอบครัวคณะทูตเข้ามาในช่วงนี้หรือไม่ และมีการดำเนินการอย่างไร นายเชิดเกียรติ กล่าวว่า ในช่วงรอยต่อนี้ก็มีคณะทูตเข้ามาหลังจากกลับไปเยี่ยมบ้านจำนวนไม่มาก และใน 2-3 วันนี้จะมีอีกประมาณ 2-3 คน หรือไม่เกิน 10 คน ทั้งนี้เราจะมีมาตรการเข้มข้นมากขึ้นโดยขอความร่วมมือและคำนึงถึงความรู้สึกของสังคมไทยที่อยากให้มีความมั่นใจในการอยู่ร่วมกันอย่างปลอดจากโควิด และเราได้มีการสื่อสารกับคณะทูตเป็นระยะ โดยช่วงบ่ายวันนี้ (17 ก.ค.) จะมีการเชิญตัวแทนคณะทูตทั้งหมดในประเทศไทยมารับฟังบรรยายสรุป เพื่อสร้างความเข้าใจและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทางคณะทูตด้วย