ผลการสอบโควิด “ไทยติดอันดับโลก” #COVID-19

28 เม.ย. 2563 | 04:02 น.

นพ.ชำนาญ ภู่เอี่ยม อดีตหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขียนบทความ "ผลการสอบโควิดฯ ไทยติดอันดับโลก" ว่า ขณะนี้ ไม่ว่าประเทศใหญ่  ประเทศเล็กไม่ว่าประเทศมหาอำนาจ ประเทศพัฒนา กำลังพัฒนา หรือ ด้อยพัฒนา ทุกประเทศได้รับข้อสอบเหมือนกันหมด..

“ข้อสอบการแก้ปัญหาโควิด-19 ภาคปฏิบัติ”

ประเทศไทยภายใต้การนำของนายกลุงตู่ ก็เป็นผู้เข้าสอบหนึ่งในจำนวนนั้น และถูกจัดอยู่ประเภท....”ม้านอกสายตา”

เพียงพอต้นเริ่มสอบ ก็ได้รับการดูแคลนไม่เฉพาะคนนอกประเทศ คนในประเทศก็มีเป็นจำนวนไม่น้อย ทั้งฝ่ายแค้น และ ฝ่ายดูแคลนชาติ...ที่ตั้งตาคอยเอาใจช่วยลุง..(ให้ล้มคว่ำ?) 

เริ่มต้นลุงทำงานยากลำบากมาก ร่างกายผ่ายผอม สีหน้าหมองคล้ำเพราะมีพันธนาการทางการเมือง ทั้งเรื่องของคุณภาพ ความสามารถของคน ความไม่ใส่ใจในการทำงาน การฉกฉวยมุ่งหาผลประโยชน์ใส่ตน ตลอดจนแรงต้านจากนักการเมืองบางฝ่าย ที่สำคัญคือการขาดเอกภาพและความรวดเร็วในการสั่งการ..

ในช่วงกลางเดือนมีนาคม มีทั้งผู้เชี่ยวชาญ และ ผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญ(แต่อยากจะเชี่ยวชาญ) ต่างดาหน้าออกมาให้ความเห็น พยากรณ์ว่า ผู้ติดเชื้อไทยจะเหยียบหลักหลายหมื่นคนกลางเมษายนอย่างแน่นอนเนื่องจากช่วงนั้นมีแนวโน้มผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง..จึงเกิดกระแสขอให้ลุงปิดบ้าน ปิดเมือง สูงขึ้น...

ประกอบกับมีเรื่องการฉกฉวยหาผลประโยชน์ของนักการเมืองทุกฝ่าย เป็นที่น่าสังเกตว่า ในสถานการณ์วิกฤติของประเทศชาติทุกครั้ง นักการเมืองอาชีพนอกจากไม่สามารถช่วยประเทศชาติได้แล้ว ยังซ้ำเติมให้สถานการณ์ของชาติเลวลงทุกครั้ง...

ลุงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษข้อสอบ แล้วก็ปรึกษาผู้ที่ควรปรึกษา และ ไม่ยอมปรึกษาผู้ที่ไม่ควรปรึกษา....

แล้วลุงก็ประยุกต์แนวคิดของลุง ผสมกับข้อเสนอแนะของผู้รู้จริง ไว้ดังนี้....

1.ต้องกลับไปสู่คราบเก่า”นักเผด็จการที่มีคุณธรรม”(งานที่ถนัด)โดย ประกาศพรบ.ฉุกเฉิน....อัศวินม้าขาวต้องบัญชาการรบด้วยตนเอง

2.ต้องทำการ”กระชับพื้นที่ของโควิด” คือ ปิดบ้าน ปิดเมืองโดยด่วน....

โดยการกระชับพื้นที่เปนรายจังหวัด มอบให้พ่อเมืองรับผิดชอบดูแลตัวเลขผู้ติดเชื้อ โดยลุงถือว่า..”โรคติดต่อ..ถ้าคนไม่ติดต่อ ก็จะไม่มีการติดต่อ”

3.ต้องลดขั้นตอนการทำงานให้เหมาะสม(Mean and Lean) เน้นการแก้ปัญหาให้ตรงจุดและรวดเร็ว(Focus and Fast)

4.ต้องใช้มืออาชีพ ใช้คนให้ตรงแลเเหมาะสมกับงาน  ไม่ใช้คนตามมารยาท ต้องสลัดนักการเมืองออกไปชั่วคราว 

ต้องให้ข้าราชการ และ ผู้รู้ตัวจริงมีอิสระในการทำงาน อย่างแท้จริง

ต้องตัดการเอาหน้า หาเสียง หาประโยชน์ทางการเมืองออกไปให้หมดทุกกระทรวง

(แม้จะทราบว่า นักการเมืองอึดอัด แต่ลุงตู่ก็มุ่งทำเพื่อชาติเหนือสิ่งอื่นใด)

5.เน้นบรรยากาศความร่วมมือ ความมีวินัย และ จิตสำนึกต่อส่วนรวมของคนในชาติแบบไทยๆ

 หลังจากได้มีมาตรการใหม่ออกไป มีผู้คนติดตามผลงานของลุงตู่ ซึ่งถ่ายทอดโดยคุณหมอทวีศิลป์ วิษณุโยธิด้วยจิตใจที่จดจ่อ ราวกับดูหนังซีริ่ย์เป็นประจำทุกวัน ...

ผู้คนสนใจตัวเลขผู้ติดเชื้อที่แชร์ออกสื่อแต่ละวัน ทำให้การเก็บตัวอยู่ที่บ้านมีชีวิตชีวา เพราะบางบ้านรับพนันขันต่อกันเล่นๆ แทงตัวเลขผู้ติดเชื้อว่า พรุ่งนี้จะสูงหรือต่ำกว่า15เป็นต้น...(นี่คือการเริ่มต้นวิถีชีวิตแบบThai New Normal)

เพื่อให้การติดตามผลงานของลุงตู่มีความสนุก และ เข้าใจง่ายขึ้น ผมจะขอสรุป(ตามความเข้าใจของผม)ดังนี้....

 -มาตรการของลุง จะเริ่มจากเบาไปหาหนัก...

-เริ่มต้นช่วงแรก: สถานการณ์ไม่เร่งด่วนนักและมีแรงต่อต้านน้อย ลุงจะเริ่มด้วยการให้วิสัยทัศน์และ ขอความร่วมมือในวงกว้าง(Visionary,Extensive Participation)

 -พอเริ่มมีความเร่งด่วน ลุงจะใช้วิธีการจูงใจ และ เจาะกลุ่มบุคคลเป้าหมายเพื่อให้ได้รับความร่วมมือ(Persuasive,Focus Participation)

 -พอเริ่มมีแรงต่อต้านสูงแต่ไม่เร่งด่วนนัก ลุงก็เพิ่มความเข็มข้นในการใช้อำนาจ(Coercive) 

 -และพอสถานการณ์ทั้งเร่งด่วนและมีแรงต้านสูง ลุงก็จะใช้ความเด็ดขาดสั่งการ(Dictatorial)ในทันที

ทั้งนี้ มาตรการของลุงจะผันแปรไปตามปัจจัย ความเร่งด่วน(Urgency) และ แรงต่อต้าน(Resistance)....

ความมือของคนร่วมชาติพุ่งกระฉูดขึ้นอย่างรวดเร็ว 

วินัย และ น้ำใจของคนร่วมชาติดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา...บางท่านบอกว่ามาจากความกลัวตายของประชาชน แต่มีจำนวนไม่น้อยบอกว่ามาจากการสื่อสารที่ดีขึ้นของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง...

ความสามัคคีก็ดูเหมือนจะดีขึ้นตามไปด้วย.....

(ทำให้นึกถึงบรรยากาศตอนน้องหมูป่าติดถ้ำ)

ประเทศไทย จากม้านอกสายตา กลับกลายเป็นSuper Starของสังคมโลก....ลุ่งตู่มีAuraจับเปล่งประกาย

คำชื่นชมจากทั่วโลกหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย 

แต่ก็ยังสวนทางกับคำด่าของฝ่ายแค้น และฝ่ายผิดหวัง และ “แกล้งผิดหวัง”จากเงินเยียวยา....

ลุงเหนื่อยยากเพียงใด ก็มิเคยปริปาก...ไม่ยอมออกสื่อบ่อยเหมือนเช่นเคย...

“ผลงานให้โฆษกพูด..ส่วนลุงพูดด้วยผลงาน”

ลุงได้เลือกโฆษกได้อย่างสุดยอด ประเภท “all in one” ที่เป็นได้ทั้งโฆษก เป็นได้ทั้งแพทย์ เป็นได้ทั้งจิตแพทย์ เป็นได้ทั้งครูสอนสุขศึกษา  วินัย และ จิตสำนึกของคนในชาติ จนเดี๋ยวนี้ มีแม่ยกคุณหมออยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ใครไม่รู้จักคุณหมอ ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ถือว่าตกยุค....

 ถ้าดูผลงานภายใต้การนำของลุง ณ.เวลานี้ก็ถือว่าทำได้ดีมากเกินความคาดหมาย  ประเมินจากคำชมของสังคมโลก ถือว่าสุดยอด แต่หนังซีรี่ย์ต้องดูกันยาวๆให้ถึงตอนจบ..ยังต้องเดินทางอีกยาวไกล อุปสรรคขวากหนามข้างหน้ายังอีกเหลือคณานับ...

การตัดสินใจปลดล็อค คลายล็อคนั้น คือปัญหาใหญ่ของลุง ซึ่งต้องอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัยด้านสุขภาพของประชาชนมาเป็นลำดับต้น

จะต้องไม่ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทางเศรษฐกิจ และจะต้องไม่ตกอยู่ภายใตแรงกดดันของฝ่ายแค้น หรือ ฝ่ายดูแคลนชาติ เพราะถ้าตัดสินใจผิดแม้แต่เพียงเล็กน้อย อาจจะส่งผลให้ไม่มีโอกาสกลับมาได้อีกเลย

ความปลอดภัยทางสุขภาพก็เป็นเรื่องน่าห่วง ปากท้องของประชาชนก็เป็นเรื่องน่าห่วงไม่น้อยเราเชื่อว่าลุงตู่คงจะสร้างความสมดุลย์ ณ.จุดนี้ได้อย่างเหมาะสม...

ผลการสอบข้อสอบโควิดทั่วโลกครั้งนี้ คือ บทพิสูจน์คุณภาพของผู้นำ และ คุณภาพของคนในชาติ....

การแพ้-ชนะโควิด-19 ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการแพทย์ สาธารณสุขแต่เพียงอย่างเดียว 

แต่ปัจจัยที่เป็นกุญแจแห่งความสำเร็จ(Key of Success Factors)ครั้งนี้ คือ การยืนระยะต่อกรกับโควิด อย่างมีวินัย มีน้ำใจ กล้าหาญ อดทนอดกลั้น มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ และ ภายใต้การนำที่ดีมีคุณภาพ

สรุป: ช่วงนี้บอกได้คำเดียวว่า ลุงตู่มีบารมีราศรีจับที่สุด มีผลงานที่จับต้องได้ที่สุด ไม่ใช่แค่ระดับประเทศไทย แต่ไปไกลระดับโลกแล้ว....

..”ความดี คือ เกราะกำบัง ไม่ต้องมานั่งปลุกม็อบ”....

(ขอเรียนว่า ที่เขียนมาทั้งหมดนี้มิใช่เพื่อเชียร์ลุงตู่ เพียงแต่ต้องการชื่นชมคนทำดี เหมือนที่สังคมโลกเขาชื่นชมกัน)