แหล่งข่าวจากกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ประเมินความเสี่ยงของการระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ว่า แม้ว่าประเทศไทยมีความพยายามในการควบคุมโรค โดยการตรวจจับผู้ป่วยให้ได้อย่างรวดเร็ว แยกโรค และ ติดตามผู้สัมผัสผู้ป่วยทุกราย ทําให้การระบาดยังอยู่ในวงจํากัดในระยะที่ผ่านมา(ระยะที่ 2) แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมี ความเสี่ยงสูงที่ประเทศไทยจะพบการระบาดในวงกว้าง และเข้าสู่ระยะที่ 3 เนื่องจากเหตุผล ดังต่อไปนี้
1.ประเทศทั่วโลกที่พบการระบาดมีจํานวนมากขึ้น ทําให้มีโอกาสสูงขึ้นที่ผู้ป่วยจากประเทศเหล่านี้จะเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย ในขณะที่ความเข้มข้นในการคัดกรองของด่านควบคุมโรคมีจํากัด
2.ยังคงมีบางประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่มีระบบเฝ้าระวังที่เข้มแข็งเพียงพอ ทําให้ไม่ทราบสถานการณ์ที่แท้จริงของประเทศนั้นๆ และอาจมีผู้ป่วยเดินทางเข้ามาในประเทศไทย
3.ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง ไม่ได้มารับการรักษาในทันที่ตั้งแต่วันแรกที่มีอาการป่วย ทั้งยังไม่มีพฤติกรรมการป้องกันการแพร่เชื้อที่เหมาะสม (ผู้ป่วยที่พบในประเทศไทยเข้ารับการรักษาโดยเฉลี่ยใน วันที่ 2 หลังจากเริ่มป่วย)
4.ประเทศไทยมีผู้ป่วยติดเชื้อภายในประเทศ ที่ไม่สามารถระบุต้นตอของการติดเชื้อได้อย่างชัดเจน
5.ประเทศไทยยังคงมีการจัดกิจกรรมรวมคนจํานวนมากอย่างต่อเนื่อง จึงมีโอกาสที่จะพบเหตุการณ์ที่ผู้ป่วยเข้าไปในสถานที่แออัดและเกิดการระบาดอย่างรวดเร็ว ดังเช่น โบสถ์ในเมืองแทกู ประเทศเกาหลี ใต้ และเรือสําราญ ประเทศญี่ปุ่น
ศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้คาดการณ์การระบาดในระยะที่ โดยใช้เทคนิค Compartmental model ซึ่งมีการใช้เทคนิคนี้ในการ คาดการณ์การระบาดจากหลายสถาบันทั้งในประเทศจีน แคนาดา ฮังการี สวีเดน และ WHO โดยมีสมมติฐาน คือ หากการระบาดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากจะระบาดแบบระลอกเดียวจบ แต่หากการ ระบาดชะลอลงได้ในระดับหนึ่งจะเห็นแนวโน้มการเกิดโรคเป็นฤดูกาล ผลการคาดการณ์ แสดงได้ใน 3 ฉากทัศน์ ดังนี้
1.ในสถานการณ์ที่ การควบคุมโรคไม่มีประสิทธิภาพ กล่าวคือ ปล่อยให้การระบาดเป็นไปโดยธรรมชาติ มีความพยายามที่จะชะลอการระบาดบ้างแต่ไม่มากนักหรือไม่มีประสิทธิภาพ ผู้ติดเชื้อ 1 คนจะสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้อีก 2.2 คน คาดว่าจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดในปี 2663 ประมาณ 37.4 ล้านคน และปี 2564 ประมาณ 14,700 คน และมีจำนวนผู้ติดเชื้อแสดงอาการในปี 2563 ประมาณ 16.8 ล้านคน ปี 2564 ประมาณ 6,600 คน โดยจะเริ่มระบาดเป็นวงกว้างในเดือนมีนาคม 2563 และระบาดสูงสุดในเดือนสิงหาคม-กันยายน 2563 มีจำนวนผู้ป่วยสูงที่สุดต่อสัปดาห์ที่ 1.5 ล้านคน มีระยะเวลาการระบาดกว่าจะสิ้นสุดประมาณ 1 ปี ทั้งนี้ เชื่อว่า สถานการณ์นี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นในไทย เนื่องจากการดำเนินการมาตรการป้องกันควบคุมโรคที่ผ่านมาที่ไทยสามารถลดจำนวนผู้ป่วยลงกว่าที่คาดการณ์ได้ 3-4 เท่า
2.สถานการณ์ที่สามารถชะลดการระบาดได้พอสมควร จากมาตรการควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพ ประชาชนให้ความร่วมมือที่ดี ทำให้สามารถชะลอการแพร่ระบาดได้ในระดับหนึ่ง โดยผู้ติดเชื้อ 1 คนสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ 1.8 คน หากสามารถทำได้ คาดว่า จะมีจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดในปี 2663 ประมาณ 7.3 ล้านคน และปี 2564 จำนวน 14.7 ล้านคน ขณะที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อแสดงอาการในปี 2563 ประมาณ 3.3 ล้านคน และปี 2564 จำนวน 6.6 ล้านคน โดยเริ่มระบาดเป็นวงกว้างในเดือนพฤษภาคม 2563 และระบาดสูงสุดในช่วงเดือนมกราคม –กุมภาพันธ์ 2564 มีจำนวนผู้ป่วยสูงที่สุดต่อสัปดาห์ที่ 4.8 แสนคน มีระยะเวลาการระบาดกว่าจะสิ้นสุดประมาณ 1 ปี 8 เดือน-2 ปี
สำหรับมาตรการควบคุมโรคในสถานการณ์นี้ต้องลดโอกาสการสัมผัสโรคของประชาชนลง เช่น งดกิจกรรมรวมคน กักกันเพื่อสังเกตอาการผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ระบาด เป็นต้น
3.สถานการณ์ที่สามารถควบคุมโรคได้ดี ผู้ที่ติดเชื้อแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้เพียง 1.6 คน สถานการณ์นี้ คาดว่า จะมีจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดในปี 2663 ประมาณ 20,000 คน และปี 2564 ประมาณ 884,000 คนขณะที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อแสดงอาการในปี 2563 ประมาณ 9,100 คน และปี 2564 ประมาณ 384,000 คน เริ่มระบาดเป็นวงกว้างในเดือนมีนาคม 2563 และระบาดสูงสุดในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2564 และเดือนกันยายน-ตุลาคม 2564 โดยมีจำนวนผู้ป่วยสูงที่สุดต่อสัปดาห์ที่ 20,000 คน กลายเป็นโรคระบาดตามฤดูกาลในแต่ละปี หรือเป็นโรคประจำถิ่นคล้ายกับไข้หวัดใหญ่
มาตรการควบคุมโรค ในสถานการณ์นี้ต้องมีความเข้มข้น และได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง รวมทั้งประชาชนให้ความ ร่วมมือเป็นอย่างมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อลดโอกาสการสัมผัสโรคของประชาชนลงให้ได้มากที่สุด เช่น การงดกิจกรรม รวมคน ส่งเสริมการทํางานจากบ้าน งดการเคลื่อนย้ายคนในหน่วยงานที่มีคนจํานวนมาก เช่น ค่ายทหาร เรือนจํา โรงเรียน เป็นต้น รวมทั้งป้องกันและควบคุมการเกิดการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ เช่น การระบาดใน โรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงงาน หรือในสถานที่ทํางาน เป็นต้น
อย่างไรก็ตามศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า การคาดการณ์นี้ เป็นเพียงการคํานวณโดยใช้แบบจําลองทางคณิตศาสตร์ บนพื้นฐานของข้อมูลธรรมชาติของ โรคและระบาดวิทยาที่มีในปัจจุบัน ยังไม่ได้พิจารณาปัจจัยการป้องกันควบคุมโรคและการรักษา เช่น การงดการจัด กิจกรรมรวมคนจํานวนมาก การใช้ยา ซึ่งยังต้องรอข้อมูลประสิทธิผลของการรักษา และวัคซีนซึ่งอาจมีขึ้นในอนาคต