แฟนเพจเฟซบุ๊กที่ชื่อว่า “แหม่มโพธิ์ดำ” ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ประกาศติดเพจ และกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งเมื่อวันที่ 9 มี.ค.และได้ทำการแฉภาพและข้อมูลขบวนการกักตุนหน้ากากหลายล้านชิ้น กระทั่งมีการแชร์และขุดข้อมูลมาพูดคุยกันในเพจเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ที่ถูกเชื่อมโยงระดับสูง อย่างร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายพิตตินันท์ รักเอียด ผู้ที่อ้างว่าเป็นคณะทำงานของร้อยเอกธรรมนัส และ นายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี หรือ บอยไนท์มาร์เก็ต ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกเพจแหม่มโพธิ์ดำแคปหน้าจอเฟซบุ๊กให้เห็นภาพความเกี่ยวข้องในการขายหน้ากากอนามัยจำนวนมากโดยมีภาพของนายพิตตินันท์ปรากฏในภาพด้วย
กระทั่งเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 9 มี.ค. 63 ทั้ง 3 คน ดังกล่าวออกมาชี้แจง “ปฏิเสธ” ความเชื่อมโยงของกันและกัน และยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการกักตุนหน้ากากอนามัยแต่อย่างใด
โดยเฉพาะนายศรสุวีร์ ซึ่งหลังจากแฟนสาวอ้างว่าติดต่อไม่ได้หลังมีตำรวจบุกค้นบ้านพัก ก็ได้ปรากฏตัวเมื่อเข้าพบตำรวจ ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ปฎิเสธว่า ไม่ได้ขายหรือกักตุนหน้ากากอนามัย เพราะไม่มีหน้ากากอนามัยตามที่โพสต์ไว้แต่อย่างใด
จากนั้นในวันเดียวกันช่วงดึกก่อนพ้นคืนวันที่ 9 มี.ค. หรือ รวมเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง "แหม่ม โพธิ์ดำ" ก็ได้ประกาศปิดเพจอีกครั้งเป็นครั้งที่ 2 เมื่อจบภารกิจเฉพาะกิจครั้งนี้ โดยระบุข้อความว่า
"ถ้าการที่กูเสี่ยงชีวิตเปิดเผยความจริงเรื่องหน้ากากสองสามวันนี้ ยังมีคนโยงกูไปสีนี้ สีไหน กูแนะน่าว่าแยกแยะไม่ได้ก็ให้ถึงไปตายซะนะ เรื่องที่เกิดขึ้นคือเราทุกคนเดือดร้อนกันหมด สถานพยาบาลไม่มีหน้ากากอนามัย มันคือความล้มเหลวทางการจัดการของหน่วยงานรัฐบาล ไวรัสมันไม่มีสี มีฝ่าย มึงจะส้ม แดง เหลือง เขียว ซึ่งก็ตายห่าได้และมันต้องมีคนพูดความจริงเพื่อแก้ไขมัน
กูก็ได้แต่หวังว่าพี่ๆสื่อที่เคารพจะตามติดปมหน้ากากอนามัยไปให้ถึงรายใหญ่ที่เกี่ยวข้อง และทำให้สถานการณ์หน้ากากขาดแคลนในประเทศดีขึ้น จัดความสำคัญของคนต้องการใช้มากที่สุดดีๆ กูหวังแค่นั้นจริงๆ กูดีใจนะทุกครั้งที่ออกมากูเจอแต่คนใจดีมีน้ำใจ และพร้อมช่วยเหลือกันเวลาเราประสบปัญหาใดๆ การมีสติช่วยกันแก้ไขไม่เห็นแก่ตัวจะทำพวกเรารอด
อีกสองชั่วโมงเพจก็ปิดแล้วบอกตามตรงที่บ้านกูไม่สบายใจเอาอย่างมาก ที่กูมาเล่นเรื่องนี้แต่มันอดไม่ไหว ทีมงานอาสากูเขาก็เปิดหน้ากันหมด เขาพูดตลอดควีนลุยเลยเราไม่กลัวพวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่มันก็ไม่ไหวนะ ที่จะเอาชีวิตคนเปิดหน้าสู้ไปเสี่ยงกับอะไรก็ไม่รู้ในวันที่บ้านเมืองเป็นแบบนี้ ที่สำคัญเจตนารมณ์เพจไม่ยุ่งเกี่ยวการเมืองด้วย
ก็หวังแต่รอบหน้าเปิดเพจมา ขอให้มีแต่เรื่องดีๆ มีรอยยิ้มของทุกโรงพยาบาลที่พวกเราส่งหน้ากากไปช่วยเหลือ แล้วเจอกันใหม่เมื่อชาติต้องการ"