"จีดีพีเกษตร" ไตรมาสแรกทรงตัว ขยาย 0.5% ตั้งเป้าทั้งปีโต 3%

27 มี.ค. 2562 | 05:15 น.

"จีดีพีเกษตร" ไตรมาสแรกทรงตัว ขยายตัว 0.5% เหตุอ้อยผลผลิตลดลงมาก ตั้งเป้าทั้งปีโต 3%

นางสาวจริยา สุทธิไชยา เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในไตรมาส 1 ปี 2562 พบว่า ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 โดยภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในไตรมาส 1 ขยายตัวได้ในระดับต่ำ หรือ ค่อนข้างทรงตัว เป็นผลมาจากอัตราการขยายตัวของสาขาพืชที่ชะลอลงเป็นหลัก (มูลค่าการผลิตของสาขาพืชมีสัดส่วนสูงสุดในภาคเกษตร) อย่างไรก็ตาม การผลิตพืชเศรษฐกิจหลายชนิดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งข้าวนาปี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และลำไย ยกเว้น อ้อยโรงงาน ซึ่งมีมูลค่าการผลิตสูงสุดในสาขาพืชในไตรมาสแรก กลับมีผลผลิตลดลงค่อนข้างมาก ด้านการผลิตสินค้าปศุสัตว์โดยรวมเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการขยายการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาด รวมทั้งมีการจัดการฟาร์มที่ได้คุณภาพมาตรฐาน ส่วนการผลิตสินค้าประมง ผลผลิตกุ้งทะเลเพาะเลี้ยงเริ่มปรับตัวดีขึ้น และการทำประมงทะเลและการเลี้ยงสัตว์น้ำจืดมีทิศทางเพิ่มขึ้น สำหรับรายละเอียดในแต่ละสาขา พบว่า

สาขาพืชไตรมาส 1 ปี 2562 ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 สำหรับข้าวนาปีมีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาข้าวในปีที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะราคาข้าวหอมมะลิที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ทำให้เกษตรกรขยายเนื้อที่เพาะปลูกในนาที่เคยปล่อยว่าง ข้าวนาปรัง มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรมีการจัดการดูแลที่เหมาะสมและมีปริมาณน้ำเพียงพอในช่วงการเพาะปลูก ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาอยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูก ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา มันสำปะหลังมีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคามันสำปะหลังในปีที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นมาก จูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกและปลูกทดแทนพืชอื่น เช่น อ้อยโรงงานและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพารา มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากเนื้อที่กรีดได้เพิ่มขึ้นจากต้นยางพาราที่ปลูกตั้งแต่ปี 2556 โดยปลูกแทนในพื้นที่พืชไร่ พื้นที่นา ไม้ผล และต้นยางพาราที่มีอายุมาก ประกอบกับเนื้อที่กรีดได้ส่วนใหญ่เป็นต้นยางพาราที่อยู่ในช่วงอายุที่ให้ผลผลิตสูง ปาล์มน้ำมัน มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากเนื้อที่ให้ผลเพิ่มขึ้นและต้นปาล์มน้ำมันส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุที่ให้ผลผลิตสูง ประกอบกับสภาพอากาศเอื้ออำนวยและปริมาณน้ำเพียงพอ ลำไย มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นลำไยที่ปลูกในปี 2559 เริ่มให้ผลผลิตในปีนี้ และเกษตรกรมีการปรับเปลี่ยนมาผลิตลำไยนอกฤดูเพิ่มขึ้น ประกอบกับสภาพอากาศเหมาะสม เกษตรกรมีการบำรุงดูแลรักษาที่ดี ต้นลำไยจึงออกดอกติดผลมากกว่าปีที่ผ่านมา

ผลผลิตพืชที่ลดลง ได้แก่ อ้อยโรงงาน มีผลผลิตลดลงเนื่องจากสภาพอากาศที่แห้งแล้ง ส่งผลให้การแตกกอและการเจริญเติบโตของต้นอ้อยไม่สมบูรณ์ ประกอบกับในช่วงปลายปี 2561 มีการเปิดหีบอ้อยเร็วขึ้น ทำให้เกษตรกรบางส่วนเร่งตัดอ้อยไปแล้วในช่วงก่อนหน้า สับปะรดโรงงานมีผลผลิตลดลง เนื่องจากราคาสับปะรดที่เกษตรกรขายได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือน พ.ค. 2560 ถึงเดือน ก.ค. 2561 ทำให้เกษตรกรมีการปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น เช่น มันสำปะหลัง อ้อยโรงงาน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น

ด้านราคา ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. 2562 สินค้าพืชที่มีราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ยังมีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีการกำหนดราคารับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 8 บาท (ความชื้นไม่เกิน 14.5%) ภายใต้โครงการตามนโยบายประชารัฐ และมันสำปะหลังมีราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้นไม่มากนัก ขณะที่ ความต้องการของตลาดมีอย่างต่อเนื่อง

สินค้าพืชที่มีราคาเฉลี่ยลดลง ได้แก่ ข้าว มีราคาลดลง เนื่องจากมีปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น ขณะที่ ความต้องการของตลาดต่างประเทศลดลง ทำให้ผู้ประกอบการชะลอการสั่งซื้อ อ้อยโรงงานมีราคาลดลงตามราคาน้ำตาลในตลาดโลก เนื่องจากปริมาณน้ำตาลของโลกอยู่ในภาวะล้นตลาดสับปะรดโรงงาน มีราคาลดลง เนื่องจากปริมาณผลผลิตยังคงมีมากกว่าความต้องการของตลาดยางแผ่นดิบ มีราคาลดลง เนื่องจากปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นจากเนื้อที่เปิดกรีดยางใหม่ ขณะที่ ผู้ประกอบการภายในประเทศชะลอการสั่งซื้อยาง รวมถึงผลกระทบจากอุปทานส่วนเกินของผลผลิตยางพาราโลก ปาล์มน้ำมัน มีราคาลดลงเนื่องจากปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันออกมาสู่ตลาดมาก รวมทั้งสต็อกน้ำมันปาล์มมีปริมาณสูงกว่าสต็อก เพื่อความมั่นคงที่ประเมินไว้ และลำไย มีราคาลดลงเนื่องจากปริมาณผลผลิตลำไยที่ออกสู่ตลาดจำนวนมากจากการปรับเปลี่ยนมาผลิตลำไยนอกฤดูเพิ่มขึ้น

สาขาปศุสัตว์ไตรมาส 1 ปี 2562 ขยายตัวร้อยละ 1.0 โดยปริมาณการผลิตไก่เนื้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากการขยายการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดหลัก เช่น ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน ขณะที่ การท่องเที่ยวและภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อไก่เพิ่มขึ้นด้วย สุกรเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาสุกรมีชีวิตเริ่มปรับตัวสูงขึ้นจากปี 2561 เกษตรกรมีแรงจูงใจในการผลิต ตลอดจนเกษตรกรมีการจัดการฟาร์มและป้องกันโรคระบาดในสุกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ทั้งนี้ การระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever : ASF) ในจีนและเวียดนาม ทำให้มีการเฝ้าระวังการระบาดของโรค ASF อย่างเข้มงวดมากขึ้น ผลผลิตไข่ไก่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรมีการจัดการฟาร์มที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น น้ำนมดิบเพิ่มขึ้น เนื่องจากจำนวนแม่โคนมและอัตราการให้น้ำนมเพิ่มขึ้นจากแรงจูงใจของราคารับซื้อน้ำนมดิบตามคุณภาพน้ำนม

ด้านราคา ในช่วงเดือน ม.ค. - ก.พ. 2562 ราคาสุกรเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรมีการบริหารจัดการผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ราคาไข่ไก่สูงขึ้นเป็นผลจากการดำเนินมาตรการส่งเสริมการบริโภคไข่ไก่ภายในประเทศและมาตรการระบายผลผลิตส่วนเกินออกจากระบบ รวมทั้งการจัดทำแผนการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ที่เหมาะสมเพื่อรักษาเสถียรภาพ ขณะที่ ราคาน้ำนมดิบที่เกษตรกรขายได้เพิ่มขึ้นตามคุณภาพและมาตรฐานที่ดีขึ้น ส่วนราคาไก่เนื้อลดลง เนื่องจากมีผลผลิตไก่เนื้อออกสู่ตลาดในปริมาณมาก

สาขาประมง ไตรมาส 1 ปี 2562 ขยายตัวร้อยละ 1.5 โดยปริมาณสัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือมีทิศทางเพิ่มขึ้น ผลผลิตกุ้งทะเลเพาะเลี้ยงมีปริมาณออกสู่ตลาดมากขึ้น เนื่องจากเกษตรกรมีการบริหารจัดการฟาร์มที่ดี มีการปล่อยลูกกุ้งในอัตราที่เหมาะสม รวมทั้งมีการพัฒนาระบบการเลี้ยงให้เหมาะสมกับพื้นที่ ส่วนผลผลิตประมงน้ำจืด เช่น ปลานิล และปลาดุก เพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรขยายพื้นที่เพาะเลี้ยง เพิ่มรอบการเลี้ยง มีการจัดการบ่อที่ดี ประกอบกับภาครัฐส่งเสริมการเลี้ยงปลานิลและปลาดุกในหลายพื้นที่

ด้านราคา ช่วงเดือน ม.ค. - ก.พ. 2562 ราคากุ้งขาวแวนนาไม (ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม) โดยเฉลี่ยลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ซึ่งเป็นการลดลงตามปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ปลานิลขนาดกลางและปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 2-4 ตัวต่อกิโลกรัม) มีราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการบริโภคและใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปยังคงมีอย่างต่อเนื่อง

สาขาบริการทางการเกษตร ไตรมาส 1 ปี 2562 ขยายตัวร้อยละ 2.6 ซึ่งเป็นผลจากการจ้างบริการเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ทางการเกษตรในการผลิตข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เกษตรกรในบางพื้นที่ เช่น ภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หันมาใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเกษตร เพื่อลดต้นทุนและประหยัดเวลา รวมถึงมีการใช้บริการโดรนสำหรับฉีดพ่นและสำรวจสภาพผลผลิตในไร่อ้อย มันสำปะหลัง และข้าวมากขึ้น

สาขาป่าไม้ ไตรมาส 1 ปี 2562 ขยายตัวร้อยละ 2.2 เนื่องจากผลผลิตไม้ยูคาลิปตัสเพิ่มขึ้นจากความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อนำไปใช้ผลิตกระดาษและแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (Wood Pellet) และผลผลิตไม้ยางพาราขยายตัวตามพื้นที่ การตัดโค่นสวนยางพาราเก่าเพื่อปลูกทดแทนด้วยยางพาราพันธุ์ดีและพืชอื่น ประกอบกับมีความต้องการจากตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นที่มีความต้องการนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด ด้านผลผลิตรังนกเพิ่มขึ้น โดยประเทศจีนมีความต้องการนำเข้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากรังนกของประเทศไทยมีคุณภาพสูง

ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรในปี 2562 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2.5–3.5 โดยทุกสาขาการผลิต ได้แก่ สาขาพืช สาขาปศุสัตว์ สาขาประมง สาขาบริการทางการเกษตร และสาขาป่าไม้ ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ การดำเนินนโยบายด้านการเกษตรต่าง ๆ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นเร็วกว่าปีที่ผ่านมา รวมทั้งสภาพอากาศที่ร้อนจัด ส่งผลให้ปริมาณน้ำต้นทุนสะสมและแหล่งน้ำธรรมชาติในบางพื้นที่ มีไม่เพียงพอต่อการผลิตทางการเกษตร และอาจส่งกระทบต่อการผลิตทางการเกษตรในระยะถัดไป ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีติดตามสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร

 

"จีดีพีเกษตร" ไตรมาสแรกทรงตัว ขยาย 0.5% ตั้งเป้าทั้งปีโต 3%

"จีดีพีเกษตร" ไตรมาสแรกทรงตัว ขยาย 0.5% ตั้งเป้าทั้งปีโต 3%