ประเทศต่างๆ ทั่วโลกกำลังตื่นตัว พัฒนาและยกระดับเมืองสำคัญของตนให้ขึ้นแท่น “เมืองอัจฉริยะ” หรือสมาร์ทซิตี โดยเฉพาะอังกฤษ เนเธอร์ แลนด์ สวีเดน สเปน หรือในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และล่าสุดกับประเทศมาเลเซีย การเติบโตของประชากรเป็นหนึ่งในปัจจัยหลัก ตัวอย่าง ประเทศจีนมีประชากรในเมืองเพิ่มขึ้นประมาณ 320 ล้านคนในระหว่างปี 2543-2558 หรือเทียบเท่าประชากรของอเมริกาทั้งประเทศทีเดียว
สมาร์ทซิตี ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) รวมถึงระบบบริหารเทคโนโลยีขั้นสูงมาจัดการกับข้อมูลจำนวนมหาศาล หรือ บิ๊กดาต้า (Big Data) เพื่อสร้างโซลูชันต่างๆ มารองรับการแก้ไขปัญหาความแออัด ความปลอดภัยสาธารณะ ความยั่งยืนและคุณภาพชีวิต
Big Data - Data Center - Solutions ปัจจัยสำคัญขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ
Big Data ต้องการเทคโนโลยีมาเก็บรวบรวมข้อมูลขนาดใหญ่ไว้ในที่ที่หนึ่ง แล้วต้องมีอีกเทคโนโลยีผนวกเข้าไปบริหารจัดการ วิเคราะห์ กลั่น และสกัด เอาคุณค่าออกมาจากข้อมูลขนาดมหาศาล ซึ่งเกินขอบเขตหรือขีดจำกัดของการจัดการข้อมูลแบบเดิมๆ โดยตามการนิยามของ Gartner นั้น Big Data คือ 3V: high-volume, high-velocity และ high-variety
ความอัจฉริยะของสมาร์ท ซิตี้ จะเกิดขึ้นเมื่อมีการบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้าด้วยกันอย่างแท้จริง เพื่อเข้ามาบริหารจัดการกับความเป็นตัวตนของเมืองและการดำรงชีวิตของประชากร ตั้งแต่ข้อมูลประชากร การศึกษา การขนส่ง การรักษาพยาบาล การไฟฟ้า การประปา ไปจนถึงการบังคับด้านกฎหมาย และการบริการชุมชนต่างๆ ภายใต้ของคำง่ายๆ ว่า Big Data
โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ หัวใจหลัก คือ ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งมีบทบาทและความสำคัญยิ่งขึ้น ศูนย์ข้อมูลจะเข้าไปจัดการ ปกป้องและให้การเข้าถึงข้อมูลมหาศาลที่สร้างขึ้นในหลายองค์กรและหน่วยงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ดาต้าเซ็นเตอร์ประกอบด้วยเซิร์ฟเวอร์ เราเตอร์ สวิตช์และไฟร์วอลล์ที่ต้องใช้งานแบบ 365X24X7 ไม่มีการสะดุด ไม่มีการหยุดทำงาน ทั้งการคำนวณและการเชื่อมต่อ ด้วยเหตุนี้โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ ต้องได้รับการออกแบบอย่างถูกต้อง มีการควบคุมการใช้พลังงานความร้อนและตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง
ความเชี่ยวชาญของ Vertiv ที่รวบรวมประสบการณ์จากทั่วโลก เสนอโซลูชันด้านโครงสร้างพื้นฐานแบบองค์รวมตามความต้องการของแต่ละโครงการ การพัฒนาโซลูชันจะถูกปรับเพื่อให้ตอบโจทย์ตามสภาพแวดล้อมและการใช้งานในแต่ละประเทศเช่นกัน
ตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น ดาต้าเซ็นเตอร์สามารถช่วยพัฒนาโครงการจัดการความหายนะ แบบสมาร์ท ที่มีระบบเตือนภัยฉุกเฉิน เพื่อตรวจจับและออกคำเตือนต่อประชาชนเกี่ยวกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่กำลังจะ
เกิดขึ้นและระบุถึงพื้นที่ที่มีความ เสี่ยงสูงได้ ทำให้ประชาชนเตรียม พร้อมรับสถานการณ์ รวมทั้งภาครัฐสามารถจัดสรรทรัพยากรและการช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพ
ชู 7 Smart Cities ขับเคลื่อน Thailand 4.0
ไอดีซีหรือ International Data Corporation ได้คาดการณ์ว่า ในปี 2561 นี้ จะมีการลงทุนเทคโนโลยีสมาร์ทซิตีสูงถึง 80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2.5 ล้านล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นเป็น 135 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4.2 ล้านล้านบาท ในปี 2564 โดยสหรัฐอเมริกา จะเป็นประเทศที่มีสัดส่วนการลงทุนด้านนี้สูงสุด ถึง 22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 682,000 ล้านบาท และรายงานจาก National League of Cities ยังได้ระบุว่า เมืองใหญ่ของสหรัฐอเมริกามากกว่า 66% กำลังลงทุนในเทคโนโลยีสมาร์ทซิตี
สำหรับประเทศไทย เริ่มให้ความสำคัญกับสมาร์ทซิตี้ ตามแนวทางการขับเคลื่อนประเทศ ไทย 4.0 และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เล็งเป้าหมายไปที่ 7 จังหวัดที่มีศักยภาพ ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา และกรุงเทพมหานคร ที่พร้อมพัฒนาทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สาธารณสุข และที่สำคัญคือ โครงสร้างพื้นฐานดิจิตอล
นอกเหนือจากการเป็นแหล่งท่องเที่ยวติดอันดับโลก ภูเก็ตจะเป็นโมเดลนำร่องเมืองอัจฉริยะ Phuket Smart City โดยตั้งเป้าให้เห็นเป็นรูปธรรมภายในปี 2563 ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งชาติ เพื่อให้เป็นแหล่งสร้างงาน สร้างรายได้ เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เข้าสู่ Smart Economy, Smart Mobility, Smart People, Smart Government,Smart Living, Smart Energy and Environment ซึ่งมีความซับซ้อนสูง
เทคโนโลยีเปลี่ยน แปลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่หยุดยั้ง การพัฒนาสมาร์ทซิตีหรือเมืองอัจฉริยะในประเทศไทยก็ไม่อาจหยุดนิ่งได้เช่นกัน โครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์มีความสำคัญยิ่งต้องได้รับการพัฒนาและออก แบบ ทั้งฮาร์ดแวร์และโซลูชันอย่างสมาร์ท มีสมรรถนะและประสิทธิภาพสูงสุด องค์ความรู้ด้านดาต้าเซ็นเตอร์และทีมผู้เชี่ยวชาญเวอร์ทีฟมีบทบาทสำคัญในการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อทำให้โครงการสมาร์ทซิตีของประเทศพัฒนาไปตามเป้าประสงค์ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ที่ตั้งไว้
|บทความ
|โดย : พิเชฏฐ เกตุรวม
ผู้จัดการภูมิภาคอินโดจีน (ประเทศไทย เมียนมา กัมพูชา ลาว)
เวอร์ทีฟ ประจำสำนักงานประเทศไทย
|หน้า 7 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3375 ระหว่างวันที่ 17-20 มิ.ย.2561