รู้เท่าทันสารพันกฎหมาย : ละครย้อนยุคกับเรื่องกฎหมายไทย ที่เคยล้ำหน้าชาติตะวันตกหลายร้อยปี

18 มิ.ย. 2561 | 08:57 น.
อัปเดตล่าสุด :18 มิ.ย. 2561 | 17:48 น.
562665 ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ ละครย้อนยุคกำลังเป็นที่สนใจเป็นอย่างมากชนิดที่เรียกได้ว่าเป็น Talk of the Town ของบ้านเราเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่กำลังฉายอยู่อย่าง “หนึ่งด้าวฟ้าเดียว” หรือเรื่องที่เป็นกระแสมากที่สุดในโลก social network อย่าง “บุพเพสันนิวาส” ที่ทำให้คนไทยหันกลับมาสนใจภาษา วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ไทยมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

หากสังเกตจากตัวละครของทั้ง 2 เรื่องจะเห็นได้ว่าตำแหน่งของตัวแสดงมีมากมายเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น เจมส์-จิรายุ ที่เล่นเป็น “ออกหลวงศรีขันทิน” และได้อวยยศขึ้นเป็น “ออกพระศรีขันทิน” หรือ “หลวงพิชัยอาสา” ที่ได้อวยยศเป็น “พระยาพิชัย” (ดาบหัก) หรือในเรื่องบุพเพสันนิวาส ที่โป๊ปรับบทเป็น “หมื่นสุนทรเทวา” แล้วต่อมาได้อวยยศเป็น “ขุนศรีวิสารวาจา” หรือตัวร้ายอย่าง คอนสแตนติน ฟอลคอน ที่เริ่มเรื่องด้วยยศ “หลวงสุรสาคร” ก่อนที่จะได้อวยยศขึ้นจนสุดท้ายได้เป็นถึง “เจ้า พระยาวิชเยนทร์” เป็นต้น
hBbh9CaTZ6uQMQNI4HGSJdA0jhOrVuci4gAWRFjLnAXdzsNBrY0Xwy7m8DXH9Tt0Lfpt9yP จากตำแหน่งของตัวละครต่างๆ เหล่านี้ จะเห็นได้ว่ามีการไล่ตำแหน่งไปตั้งแต่ ขุน หมื่น หลวง พระ พระยา และเจ้าพระยา ซึ่งผู้ชมส่วนใหญ่อาจคิดไปว่าการกำหนดศักดินาต่างๆ นี้ เป็นไปเพื่อดูชั้นในการบังคับบัญชางานในราชการเท่านั้น จริงๆ แล้วนั้นการกำหนดศักดินาของไทยที่ว่ามานี้ เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อปี พ.ศ.1997 หรือเมื่อ 564 ปีที่ผ่านมา โดยกำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นตัววัดในการปรับไหมและพินัยในการขึ้นศาล นั่นหมายความว่า เมื่อผู้กระทำผิดเป็นผู้มีศักดินาสูง เมื่อถูกลงโทษย่อมต้องรับโทษหนักกว่าผู้ที่มีศักดินาตํ่า

ดังนั้น การที่มีหลายคนเข้าใจว่า “ศักดินา” คือการมีสิทธิในการถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะในยุคดังกล่าว ทุกคนยกเว้นพระมหากษัตริย์ (ขุนหลวง) เท่านั้นที่ไม่มีศักดินา เพราะทุกอย่างในแผ่นดินล้วนเป็นของพระองค์ท่าน ในความเป็นจริงแล้ว “ศักดินา” มิได้กำหนดให้ไว้แต่เฉพาะข้าราชการแต่อย่างใด ประชาชนทั่วไปก็มีศักดินาคนละ 25 ไร่ แม้แต่ทาสที่ไม่มีสิทธิถือครองที่ดินตามกฎพระไอยการก็ยังมีศักดินา 5 ไร่ ส่วนนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างระบบศักดินาของไทย กับระบบเจ้าขุนมูลนาย (feudalism) ของโลกตะวันตกซึ่งเป็นการที่กษัตริย์จะมอบที่ดินให้ดูแลบางส่วนเพื่อแลกกับการได้รับการสนับสนุนกำลังทางทหาร
hBbh9CaTZ6uQMQNI4HGSZWegsXZqFV02rfzUNf8EaTIPRFqn6hIbjwoKagOquEDirDHRdzp ท่านอาจตั้งคำถามต่อไปว่าแล้วการกำหนด “ศักดินา” ที่ว่ามานี้มันสำคัญอย่างไร ก็ขอเรียนว่า เมื่อกว่า 560 ปีที่แล้ว บรรพบุรุษของพวกเราได้มีเครื่องมือทางกฎหมายเพื่อใช้สร้างความเสมอภาคในการกำหนดโทษที่จะลงต่อผู้กระทำผิด เพราะถ้ากำหนดโทษปรับไว้เท่ากัน คนรวยที่มีเงินมากมายก็จะไม่รู้สึกถึงโทษที่ตนได้รับเลย ดังนั้นในสมัยนั้นจึงมีการคำนวณการคิดค่าปรับจากความแตกต่างที่มาจากรายได้ของผู้กระทำความผิด เมื่อผู้กระทำผิดมีโอกาสและความสามารถในการที่จะหารายได้ ได้สูง (high income-earning capability) หากกระทำผิดย่อมต้องได้รับโทษสูงไปด้วย แต่ปัจจุบันหลักและแนวคิดในเรื่องนี้กลับหายสาบสูญไปจากกฎหมายของบ้านเรา ทำให้ปัจจุบันการลงโทษผู้กระทำผิดโดยเฉพาะเรื่องการปรับตามสถานะและรายได้ของผู้กระทำความผิดไม่ได้นำมาใช้ประกอบการกำหนดโทษแต่อย่างใด
52656 ซึ่งในประเด็นนี้อาจมีผู้สนับสนุนกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน โดยให้เหตุผลว่า การจะทำตามอย่างหลักและแนวคิดอย่างในอดีตตามที่กล่าวมานั้นทำไม่ได้ เนื่องจากการนำความแตกต่างในเรื่องสถานะทางสังคมหรือทางเศรษฐกิจมาเป็นตัวแบ่งเพื่อใช้ในการปฏิบัติกับคนโดยไม่เท่าเทียมกัน ย่อมเป็นการขัดกับหลักคุ้มครองสิทธิของปวงชนชาวไทยที่ได้บัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร พ.ศ. 2560 มาตรา 27

เมื่อไม่ถึง 100 ปีที่ผ่านมา หลักกฎหมายในลักษณะดังกล่าวได้มีกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญของหลายประเทศในสหภาพยุโรป โดยเฉพาะในประเทศกลุ่ม Scandinavia แต่หลักและแนวคิดในการกำหนดบทลงโทษในเรื่องการปรับโดยพิจารณาจากสถานะ(ทางการเงิน)ของผู้กระทำผิดในยุโรปกลับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1921 ในขณะที่บ้านเรามีแนวคิดนี้เมื่อกว่า 560 ปีแล้ว หลายประเทศในยุโรปมีการใช้กฎหมายตามหลักเรื่องนี้

web-01

ตัวอย่างเช่น ประเทศ Finland กำหนดโทษปรับรายวันโดยคำนวณจากรายได้ของผู้กระทำความผิด หรือการกำหนดโทษปรับในกรณีขับรถเร็ว ตัวอย่างที่โด่งดังในยุโรปคือ กรณีที่ผู้บริหารของบริษัท Nokia ที่ขี่มอเตอร์ไซค์ Harley Davidson ด้วยความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จึงโดนโทษปรับไปเป็นเงิน 116,000 ยูโร หรือประมาณ 4,500,000 บาท ซึ่งคำนวณโทษปรับจากฐานรายได้จำนวนมหาศาลของผู้กระทำผิด

หรือแม้แต่กฎหมายคุ้ม ครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับใหม่ของสหภาพยุโรป GDPR ที่ได้นำเสนอไว้ใน 2 บทความก่อนหน้านี้ ก็นำหลักนี้มาเป็นตัวกำหนดในบทลงโทษเช่นกัน คือกำหนดปรับสูงสุด 20 ล้านยูโร หรือรายได้ 4% ของรายได้รวมจากผลประกอบการทั่วโลก โดยให้คิดค่าปรับจากอัตราสูงสุด นั้นหมาย ความว่าถ้า 4% ของผลประกอบการร่วมนั้นมากกว่า 20 ล้านยูโร ก็ให้คิดค่าปรับจากอัตรานั้น
5665266
คราวนี้พอกลับมาดูบ้านเราก็จะเห็นว่า บ้านเราเมืองเรามีการคิดระบบในการสร้างความยุติธรรมที่ใช้ในการกำหนดโทษมากว่า 560 ปี และมีมานานกว่ายุโรปถึงกว่า 400 ปี แต่เหตุใดกฎหมายแบบนี้จึงถูกยกเลิกและเลือนหายไปจากความทรงจำของคนในบ้านเราเมืองเราไปได้ เรื่องนี้คงจะเห็นเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากจะมองแบบภาษิตอมตะนิรันดร์กาลที่กล่าวไว้ว่า “กฎหมายย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ของชนชั้นผู้ร่างกฎหมาย” ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าคนที่จะเป็นผู้ร่างกฎหมายในบ้านในเมืองได้ ถ้ายังมีการกำหนดศักดินาอยู่ ย่อมต้องเป็นคนที่มีศักดินาสูงและย่อมต้องได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้สูงตามไปด้วย

ดังนั้น กฎหมายแบบนี้จึงได้หายไปจากบ้านเมืองเรานานมากแล้ว และแม้ว่าหลายประเทศในยุโรปจะใช้แนวคิดเดียวกันนี้ในการใช้เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาคนล้นคุก และสร้างความยุติธรรมเพื่อให้การลงโทษนั้นสร้างความเสียหายต่อผู้กระทำผิดที่มีรายได้ไม่เท่ากัน อย่างเท่าเทียมกัน แต่ผมก็อดเชื่อไม่ได้ว่าในตลอดช่วงชีวิตของผมเอง คงจะไม่ได้เห็นการนำหลักการและแนวคิดที่มีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถกลับมาใช้อีกอย่างแน่นอน

|คอลัมน์ : รู้เท่าทันสารพันกฎหมาย
|โดย...มาร์ค เจริญวงศ์ อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด
|หน้า 7 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3375 ระหว่างวันที่ 17-20 มิ.ย.2561
e-book-1-503x62 web-01