ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ ละครย้อนยุคกำลังเป็นที่สนใจเป็นอย่างมากชนิดที่เรียกได้ว่าเป็น Talk of the Town ของบ้านเราเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่กำลังฉายอยู่อย่าง
“หนึ่งด้าวฟ้าเดียว” หรือเรื่องที่เป็นกระแสมากที่สุดในโลก social network อย่าง
“บุพเพสันนิวาส” ที่ทำให้คนไทยหันกลับมาสนใจภาษา วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ไทยมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หากสังเกตจากตัวละครของทั้ง 2 เรื่องจะเห็นได้ว่าตำแหน่งของตัวแสดงมีมากมายเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น เจมส์-จิรายุ ที่เล่นเป็น “ออกหลวงศรีขันทิน” และได้อวยยศขึ้นเป็น “ออกพระศรีขันทิน” หรือ “หลวงพิชัยอาสา” ที่ได้อวยยศเป็น “พระยาพิชัย” (ดาบหัก) หรือในเรื่องบุพเพสันนิวาส ที่โป๊ปรับบทเป็น “หมื่นสุนทรเทวา” แล้วต่อมาได้อวยยศเป็น “ขุนศรีวิสารวาจา” หรือตัวร้ายอย่าง คอนสแตนติน ฟอลคอน ที่เริ่มเรื่องด้วยยศ “หลวงสุรสาคร” ก่อนที่จะได้อวยยศขึ้นจนสุดท้ายได้เป็นถึง “เจ้า พระยาวิชเยนทร์” เป็นต้น
จากตำแหน่งของตัวละครต่างๆ เหล่านี้ จะเห็นได้ว่ามีการไล่ตำแหน่งไปตั้งแต่ ขุน หมื่น หลวง พระ พระยา และเจ้าพระยา ซึ่งผู้ชมส่วนใหญ่อาจคิดไปว่าการกำหนดศักดินาต่างๆ นี้ เป็นไปเพื่อดูชั้นในการบังคับบัญชางานในราชการเท่านั้น จริงๆ แล้วนั้นการกำหนดศักดินาของไทยที่ว่ามานี้ เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อปี พ.ศ.1997 หรือเมื่อ 564 ปีที่ผ่านมา โดยกำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นตัววัดในการปรับไหมและพินัยในการขึ้นศาล นั่นหมายความว่า เมื่อผู้กระทำผิดเป็นผู้มีศักดินาสูง เมื่อถูกลงโทษย่อมต้องรับโทษหนักกว่าผู้ที่มีศักดินาตํ่า
ดังนั้น การที่มีหลายคนเข้าใจว่า “ศักดินา” คือการมีสิทธิในการถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะในยุคดังกล่าว ทุกคนยกเว้นพระมหากษัตริย์ (ขุนหลวง) เท่านั้นที่ไม่มีศักดินา เพราะทุกอย่างในแผ่นดินล้วนเป็นของพระองค์ท่าน ในความเป็นจริงแล้ว “ศักดินา” มิได้กำหนดให้ไว้แต่เฉพาะข้าราชการแต่อย่างใด ประชาชนทั่วไปก็มีศักดินาคนละ 25 ไร่ แม้แต่ทาสที่ไม่มีสิทธิถือครองที่ดินตามกฎพระไอยการก็ยังมีศักดินา 5 ไร่ ส่วนนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างระบบศักดินาของไทย กับระบบเจ้าขุนมูลนาย (feudalism) ของโลกตะวันตกซึ่งเป็นการที่กษัตริย์จะมอบที่ดินให้ดูแลบางส่วนเพื่อแลกกับการได้รับการสนับสนุนกำลังทางทหาร
ท่านอาจตั้งคำถามต่อไปว่าแล้วการกำหนด “ศักดินา” ที่ว่ามานี้มันสำคัญอย่างไร ก็ขอเรียนว่า เมื่อกว่า 560 ปีที่แล้ว บรรพบุรุษของพวกเราได้มีเครื่องมือทางกฎหมายเพื่อใช้สร้างความเสมอภาคในการกำหนดโทษที่จะลงต่อผู้กระทำผิด เพราะถ้ากำหนดโทษปรับไว้เท่ากัน คนรวยที่มีเงินมากมายก็จะไม่รู้สึกถึงโทษที่ตนได้รับเลย ดังนั้นในสมัยนั้นจึงมีการคำนวณการคิดค่าปรับจากความแตกต่างที่มาจากรายได้ของผู้กระทำความผิด เมื่อผู้กระทำผิดมีโอกาสและความสามารถในการที่จะหารายได้ ได้สูง (high income-earning capability) หากกระทำผิดย่อมต้องได้รับโทษสูงไปด้วย แต่ปัจจุบันหลักและแนวคิดในเรื่องนี้กลับหายสาบสูญไปจากกฎหมายของบ้านเรา ทำให้ปัจจุบันการลงโทษผู้กระทำผิดโดยเฉพาะเรื่องการปรับตามสถานะและรายได้ของผู้กระทำความผิดไม่ได้นำมาใช้ประกอบการกำหนดโทษแต่อย่างใด
ซึ่งในประเด็นนี้อาจมีผู้สนับสนุนกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน โดยให้เหตุผลว่า การจะทำตามอย่างหลักและแนวคิดอย่างในอดีตตามที่กล่าวมานั้นทำไม่ได้ เนื่องจากการนำความแตกต่างในเรื่องสถานะทางสังคมหรือทางเศรษฐกิจมาเป็นตัวแบ่งเพื่อใช้ในการปฏิบัติกับคนโดยไม่เท่าเทียมกัน ย่อมเป็นการขัดกับหลักคุ้มครองสิทธิของปวงชนชาวไทยที่ได้บัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร พ.ศ. 2560 มาตรา 27
เมื่อไม่ถึง 100 ปีที่ผ่านมา หลักกฎหมายในลักษณะดังกล่าวได้มีกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญของหลายประเทศในสหภาพยุโรป โดยเฉพาะในประเทศกลุ่ม Scandinavia แต่หลักและแนวคิดในการกำหนดบทลงโทษในเรื่องการปรับโดยพิจารณาจากสถานะ(ทางการเงิน)ของผู้กระทำผิดในยุโรปกลับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1921 ในขณะที่บ้านเรามีแนวคิดนี้เมื่อกว่า 560 ปีแล้ว หลายประเทศในยุโรปมีการใช้กฎหมายตามหลักเรื่องนี้
ตัวอย่างเช่น ประเทศ Finland กำหนดโทษปรับรายวันโดยคำนวณจากรายได้ของผู้กระทำความผิด หรือการกำหนดโทษปรับในกรณีขับรถเร็ว ตัวอย่างที่โด่งดังในยุโรปคือ กรณีที่ผู้บริหารของบริษัท Nokia ที่ขี่มอเตอร์ไซค์ Harley Davidson ด้วยความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จึงโดนโทษปรับไปเป็นเงิน 116,000 ยูโร หรือประมาณ 4,500,000 บาท ซึ่งคำนวณโทษปรับจากฐานรายได้จำนวนมหาศาลของผู้กระทำผิด
หรือแม้แต่กฎหมายคุ้ม ครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับใหม่ของสหภาพยุโรป GDPR ที่ได้นำเสนอไว้ใน 2 บทความก่อนหน้านี้ ก็นำหลักนี้มาเป็นตัวกำหนดในบทลงโทษเช่นกัน คือกำหนดปรับสูงสุด 20 ล้านยูโร หรือรายได้ 4% ของรายได้รวมจากผลประกอบการทั่วโลก โดยให้คิดค่าปรับจากอัตราสูงสุด นั้นหมาย ความว่าถ้า 4% ของผลประกอบการร่วมนั้นมากกว่า 20 ล้านยูโร ก็ให้คิดค่าปรับจากอัตรานั้น
คราวนี้พอกลับมาดูบ้านเราก็จะเห็นว่า บ้านเราเมืองเรามีการคิดระบบในการสร้างความยุติธรรมที่ใช้ในการกำหนดโทษมากว่า 560 ปี และมีมานานกว่ายุโรปถึงกว่า 400 ปี แต่เหตุใดกฎหมายแบบนี้จึงถูกยกเลิกและเลือนหายไปจากความทรงจำของคนในบ้านเราเมืองเราไปได้ เรื่องนี้คงจะเห็นเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากจะมองแบบภาษิตอมตะนิรันดร์กาลที่กล่าวไว้ว่า “กฎหมายย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ของชนชั้นผู้ร่างกฎหมาย” ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าคนที่จะเป็นผู้ร่างกฎหมายในบ้านในเมืองได้ ถ้ายังมีการกำหนดศักดินาอยู่ ย่อมต้องเป็นคนที่มีศักดินาสูงและย่อมต้องได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้สูงตามไปด้วย
ดังนั้น กฎหมายแบบนี้จึงได้หายไปจากบ้านเมืองเรานานมากแล้ว และแม้ว่าหลายประเทศในยุโรปจะใช้แนวคิดเดียวกันนี้ในการใช้เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาคนล้นคุก และสร้างความยุติธรรมเพื่อให้การลงโทษนั้นสร้างความเสียหายต่อผู้กระทำผิดที่มีรายได้ไม่เท่ากัน อย่างเท่าเทียมกัน แต่ผมก็อดเชื่อไม่ได้ว่าในตลอดช่วงชีวิตของผมเอง คงจะไม่ได้เห็นการนำหลักการและแนวคิดที่มีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถกลับมาใช้อีกอย่างแน่นอน
|คอลัมน์ : รู้เท่าทันสารพันกฎหมาย
|โดย...มาร์ค เจริญวงศ์ อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด
|หน้า 7 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3375 ระหว่างวันที่ 17-20 มิ.ย.2561