ต้องบอกว่า ตลาดอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทยปรอทแตก เมื่อ JD.com ยักษ์ใหญ่รายที่ 2 จากประเทศจีน ประกาศลงชิงส่วนแบ่งการช็อปปิ้งในตลาดอี-คอมเมิร์ซในไทยกว่า 86,000-90,000 ล้านบาท จากมูลค่าตลาดอี-คอมเมิร์ซทั้งสิ้น 2.3-2.5 ล้านล้านบาท โดยจับมือกับกลุ่มเซ็นทรัลยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของไทย ร่วมลงทุนกันรวม 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 17,000 ล้านบาท
JD.com กับกลุ่มเซ็นทรัลจับมือกันทำ 2 เรื่องใหญ่ 1. การขายออนไลน์ และ 2. ทำธุรกิจยุคใหม่ฟินเทค แปลความง่ายๆ ว่าจะเน้น 2 เรื่องคือ 1. บริการช็อปปิ้ง 2. บริการเงินส่วนบุคคล
วันเปิดตัว เฉิน จาง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี JD.com แย้มไต๋ทางยุทธศาสตร์ว่า ต้องการยกระดับค้าปลีกของไทยให้เป็นสมาร์ท รีเทล ด้วยการนำเทคโนโลยีมาช่วยในเรื่องค้าออนไลน์
ขณะที่กลุ่มเซ็นทรัลมีความแข็งแกร่งด้านออฟไลน์ จึงเชื่อว่าจะช่วยยกระดับวงการค้าปลีกในไทยได้อีกมาก
บทบาทของ JD.com นั้นชัดสุดคือ จะพยายามสร้างสรรค์คุณค่าในการซื้อสินค้า และแสวงหาโอกาสในตลาดค้าปลีกไทย โดยจะนำบริการทางการเงินมาควบคู่กับค้าปลีก JD.com จะส่งสินค้าไทยไปขายที่จีน และนำสินค้าจีนมาขายในไทย รวมถึงบริการของเจดีไฟแนนซ์ที่มุ่งเน้นในเรื่องธุรกรรมออนไลน์ ซึ่งเชื่อว่า อี-คอมเมิร์ซของไทยจะยังเติบโตได้อีกมาก
ต่อมา ริชาร์ด หลิว หรือ หลิว เฉียง ตง ประกาศว่า “จะเอาของที่ดี ราคาดีที่สุด บริการดีที่สุด มาสร้างให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าขายออนไลน์ สำหรับอาเซียนด้านตะวันออก
ขณะที่อินโดนีเซียจะเป็นศูนย์กลางสำหรับอาเซียนด้านตะวันตก
หลิวบอกว่า เราได้ลงทุนมหาศาลในการสร้างเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกเพื่อการทำธุรกิจอี-คอมเมิร์ซอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นระบบคลังสินค้าไร้คน, โดรน, ทีมส่งถึงลูกค้า วันเดียวกันหรือไม่เกินวันรุ่งขึ้น การใช้ Big Data เพื่อส่งเสริมการขายและบริการ รวมไปถึง Cloud Computing ทั้งหมดนี้เราจะนำเอามาให้ประเทศไทยได้ใช้อย่างทันท่วงทีในปี 2560”
ริชาร์ด หลิว วัย 43 เป็นอภิมหาเศรษฐีระดับต้นๆ ของจีน หุ้นของ JD.com เข้าซื้อขายในตลาดหุ้น NASDAQ ในเดือนพฤษภาคม 2557 และเป็นบริษัทอินเตอร์เน็ตจีนแห่งแรกที่ได้ขึ้น Fortune Global 500
ต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ หลิวจะเดินทางมาประเทศไทยเพื่อร่วมวางแผนยุทธศาสตร์ธุรกิจกับกลุ่มเซ็นทรัล
อย่ามองเรื่องนี้แบบเลยผ่านไปโดดเด็ดขาดพี่น้องเอ๊ย...เมื่อยักษ์ใหญ่อี-คอมเมิร์ซและระบบการชำระเงินของจีนบุกตีตลาดไทย นั่นหมายถึงสินค้าจีนราคาถูกมีโอกาสตีตลาดไทยจนกระเจิงแน่
ประเด็นแรก JD.com เป็นบริษัทเทคโนโลยี ที่มีรายได้อันดับ 3 รองจาก อเมซอน และกูเกิล มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 152% มีพันธกิจไม่ขายสินค้าปลอมและละเมิดลิขสิทธิ์ มีคลังสินค้ากว่า 335 แห่งในจีน และทำงานร่วมกับ เทนเซนต์ และ Walmart มีการซื้อสินค้าผ่านมือถือกว่า 80% มีผู้ใช้บริการประจำไม่น้อยกว่า 258 ล้านคน มีรายรับรวม 7.62 หมื่นล้านหยวน หรือราว 3.8 แสนล้านบาท
ประเด็นที่ 2 ตลาดอาเซียนกำลังเติบโตอย่างจริงจัง การสำรวจล่าสุดในปี 2016 พบว่าตลาดช็อปปิ้งออนไลน์ในเอเชียมีมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ส่วนใหญ่มาจากประเทศจีนถึง 899,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ตลาดก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างเห็นได้ชัด
ขณะที่วงการช็อปปิ้งออนไลน์ของไทยก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าจะมีมูลค่า 5,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2020 หรือในอีก 3 ปีข้างหน้า การก้าวเข้ามาของ JD.com ย่อมทำให้ตลาดนี้ปรอทแตก จากที่อี-คอมเมิร์ซผ่านเว็บไซต์อันดับ 1-9 นั้นมี Lazada TH, 11 Street TH, Shopee TH, Chilindo, Notebook Spec, J.I.B, Central Online, Tarad, Advice,และ Konvy.com ยึดหัวหาด
แต่ถ้าพิจารณาจากเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย 3 อันดับแรก จะพบว่ามาจากต่างประเทศทั้งสิ้น Lazada จากเยอรนี แต่ถูกซื้อไปโดยอาลีบาบา ถือเป็นราชาแห่งอี-คอมเมิร์ซมีผู้เข้าชมสูงสุดในไทย 41.6 ล้านครั้งต่อเดือน ยอดดาวน์โหลด 50 ล้านดาวน์โหลด มีผู้ติดต่อใน LINE 18.8 ล้านราย มีผู้ติดต่อใน Facebook สูงสุด 17.5 ล้านไลก์
ขณะที่ 11 street มียอดผู้เข้าชมกว่า 9.6 ล้านรายต่อเดือน และ Shopee มียอดดาวน์โหลดกว่า 1 ล้านดาวน์โหลด มียอดผู้เข้าชมกว่า 3.5 ล้านคนต่อเดือน ปัจจุบันมีสินค้าที่วางจำหน่าย 4.8 ล้านชิ้น เทียบกับปี 2559 ที่มีแค่ 2.3 ล้านชิ้น มีผู้ขายบนลาซาด้า 15,300 ราย ปีที่แล้วมีรายได้ร่วม 4,000 ล้านบาท ส่วน 11 Street มาจากเกาหลีใต้ Shopee มาจากสิงคโปร์
มีแค่เว็บไซต์ Chilindo ที่ผลิตโดยคนไทย ขายสินค้าออนไลน์ประเภททั่วไปที่ให้ลูกค้าประมูลราคา 1 บาท มีผู้เข้าชม 3.5 ล้านครั้ง ยอดดาวน์โหลดสูงสุดกว่า 5 แสนดาวน์โหลด มีผู้ติดตามทาง Facebook สูงกว่า 3.5 ล้านไลก์ J.I.B. ที่มีผู้เข้าชมกว่า 2.45 ล้านครั้งต่อเดือน Konvy.com ที่ขายสินค้าประเภทแฟชั่น เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิวแบรนด์ต่าง ๆ Central Online ที่มีผู้เข้าชมกว่า 2.3 ล้านครั้งต่อเดือน และTarad ที่สัญชาติไทย ที่สู้ได้
ประเด็นที่ 3 ตลาดการแข่งขันที่จะดุเดือดกว่าเดิม เพราะการขยายธุรกิจสู่ประเทศไทยจะทำให้ JD ต้องชนกับคู่แข่งอย่าง Alibaba ซึ่งซื้อกิจการ Lazada มาระยะหนึ่งแล้ว การจับมือ
กับกลุ่มเซ็นทรัลที่มีธุรกิจห้างสรรพสินค้าและโรงแรมรีสอร์ตมากกว่า 40 แห่ง มีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในมือ มีธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ ย่อมทำให้กลุ่ม JD.com และกลุ่มเซ็นทรัล เป็นเสือติดปีก
การประกาศของริชาร์ด หลิว ที่บอกว่า “เราจะเข้าสู่ประเทศไทยก่อนสิ้นปีนี้ เรายินดีต้อนรับทุกคนยกเว้น Lazada คือการประกาศทำสงครามกันของ 2 ยักษ์ใหญ่ในจีน
แน่นอนว่านั่นมิจำกัดวงแคบแค่การซื้อขายสินค้าออนไลน์ผ่านเว็บไซต์เท่านั้น แม้แต่ร้านค้าอี-คอมเมิร์ซใน LINE แอพพลิเคชันยอดฮิตของคนไทย ที่ขาใหญ่ 8 บริษัทของไทยได้แก่ Wemall, Karmarts, Powerbuy, Jaymart, Pomelo, Shop 24, Central Online, Beauticool ยึดครองอยู่ ย่อมต้องสะเทือนแน่นอนถ้าไม่ปรับตัว
นี่มิต้องกล่าวถึงธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในธุรกิจการผลิต การค้าปลีกและการค้าส่ง การขนส่ง การให้บริการที่พัก การสื่อสาร การประกันภัย ศิลปะ ความบันเทิง นันทนาการ กิจการบริการด้านการเงิน ที่จะต้องหาช่องทางรับมือ
ขนาดรายใหญ่ยังอยู่ยาก แล้วรายเล็กจะสร้างตลาดอย่างไร... ผมจินตนาการไม่ออก
คอลัมน์ : ทางออกนอกตำรา/ หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ / ฉบับ 3300 ระหว่างวันที่ 28-30 ก.ย.2560