ข้าพระบาท ทาสประชาชน : กฎหมายมีผลย้อนหลังได้หรือไม่?

26 ก.ค. 2560 | 07:35 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ก.ค. 2560 | 14:35 น.
269549

ข้าพระบาท ทาสประชาชน
โดย...ประพันธุ์ คูณมี

กฎหมายมีผลย้อนหลังได้หรือไม่?

สัปดาห์ที่แล้ว ผมได้เขียนบทความ "เมื่อกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไล่ล่าคนโกง" โดยเขียนถึงเรื่อง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ....ที่ได้ผ่านการพิจารณาเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งเป็นที่สนใจของประชาชน และบรรดาพรรคกับนักการเมือง โดยเฉพาะที่กลัวว่ากฎหมายนี้จะเล่นงานตนและพรรคพวก รวมถึงเจ้านายหรือนายทุนจ้าของพรรคที่หลบหนีคดี และที่ย้งมีคดีค้างพิจารณาอยู่ที่ศาล บางพรรคถึงขนาดลงทุนตั้งโต๊ะแถลง และออกแถลงการณ์คัดค้านกฎหมายฉบับนี้ หลายประเด็นมีการถกเถียงโต้แย้งหรือชี้แจงจากฝ่ายสภานิติบัญัติฯไปแล้ว

Image

แต่มีประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งที่ฝ่ายคัดค้านกฎหมายฉบับนี้ มักจะยกขึ้นมาโต้แย้งที่อาจทำให้ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาและเข้าใจกฎหมายลึกซึ้ง อาจหลงเชื่อและคล้อยตามได้ นั่นคือประเด็นค้านว่ากฎหมายนี้ เป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ย้อนหลังในทางที่เป็นโทษแก่จำเลยหรือผู้ถูกกล่าวหา ขัดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 ที่บัญญัติว่า "บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำผิดนั้น ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง การกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป ให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิด และถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้น ถ้ารับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลง"

สรุปง่ายๆ ที่เข้าใจกันมาโดยตลอดก็คือ กฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลังไปลงโทษถึงการกระทำในอดีตที่ผ่านไปแล้วในทางที่เป็นโทษ แต่ย้อนหลังในทางที่เป็นคุณได้

นี่เป็นความเข้าใจที่มีมาแต่เดิมของนักกฎหมายจำนวนไม่น้อย หรือกับประชาชนโดยทั่วไป ความจริงแล้วความเข้าใจเช่นนั้นมิได้ถูกต้องทั้งหมดแต่อย่างใด นักกฎหมายผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ อาจารย์และนักวิชาการทางกฎหมายทั้งในและต่างประเทศ ต่างรู้ดีว่าหลักนี้ยังมีข้อยกเว้น ในระบบกฎหมายไทยก็มีตัวอย่างให้ศึกษาว่า กฎหมายไทยมีผลทั้งที่ย้อนหลังได้ และที่ย้อนหลังไม่ได้ ในต่างประเทศก็เช่นกัน เพื่อความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง อันจะทำให้การทำความเข้าใจ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต่อเนื่องจากบทความก่อน ผู้เขียนจึงขอนำผลงานศึกษาบางส่วน อันเป็นวิทยานิพนธ์โดยร้อยตำรวจโท ณัฐพงษ์ บุปผเวส คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาพูดถึง

ศาล-4

ในงานวิทยานิพนธ์ฉบับดังกล่าว ทำให้ทราบได้ว่าในหลายประเทศก็มีการใช้หลักกฎหมายย้อนหลังในระบบกฎหมายของตน การบัญญัติให้กฎหมายมีผลย้อนหลังในแต่ละประเทศ ในยุโรปและอเมริกาล้วนมีที่มาทางประวัติศาสตร์และเหตุผลความจำเป็นที่ต่างกัน ประเทศฝรั่งเศสได้บัญญัติเรื่องนี้ไว้ในรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำไป เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ.1993 โดยแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ค.ศ.1985 หมวด10 ว่าด้วยความรับผิดทางอาญาของรัฐมนตรี ว่าด้วยองค์คณะผู้พิพากษาและการฟ้องคดีความรับผิดทางอาญาของรัฐมนตรี และยังแก้ไขเพิ่มเติมต่อมาอีกครั้งว่า "บทบัญญัติในหมวดนี้อาจนำไปบังคับใช้กับการกระทำความผิดที่เกิดขึ้น ก่อนการมีผลบังคับใช้ของบทบัญญัติในหมวดนี้ได้" เหตุผลสำคัญก็เพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนั้นผ่านการพิจารณาจากรัฐสภาและผ่านการออกเสียงประชามติโดยประชาชนด้วย คล้ายกันกับประเทศเรา จึงมีบทบัญัติกฎหมายที่มีโทษทางอาญาย้อนหลังได้

สำหรับประเทศไทยในอดีต วิทยานิพนธ์ฉบับดังกล่าว อ้าง ดร.วิษณุ เครืองาม ว่า ในกฎหมายตราสามดวงก็ไม่พบหลักฐาน บทกฎหมายดังกล่าว และสมัยการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาด จะตรัสอะไรออกมาเป็นกฎหมายไปหมด มันจะย้อนไปหรือไม่ย้อนก็เป็นกฎหมายทั้งสิ้น เพราะเมื่อพิจารณาดังนี้ ถือว่าเราไม่ได้ยอมรับหลักกฎหมายที่ว่ากฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง การที่เราไม่มีกฎหมายย้อนหลัง เป็นเพราะมหากษัตริย์ทรงยับยั้งซึ่งพระทัยเองที่เรียกว่า self-restraint มากกว่าเพราะเหตุอื่น ซึ่งจากงานวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ยังมีตัวอย่างทั้งบทกฎหมายที่มีผลย้อนหลังได้และไม่ย้อนหลัง รวมถึงคำพิพากษาฎีกาในคดีต่างๆ แสดงให้เห็นว่าในระบบกฎหมายไทย แม้จะมีกฎหมายอาญามาตรา 2 หรือรัฐธรรมนูญบัญญัติเรื่องนี้ไว้ ก็มิได้เป็นบทห้ามโดยเด็ดขาด หากเป็นกรณีกฎหมายที่ไม่ใช่บทกำหนดโทษทางอาญาก็ดี เช่น การเพิกถอนสิทธิทางการเมืองในคดียุบพรรค ก็ย้อนหลังได้  หรือหากเป็นกฎหมายเพื่อความมั่นคง เช่นการเพิกถอนสัญชาติ ก็มีผลบังคับได้

ที่น่าสนใจและเป็นบทสรุปที่ทำให้ผู้เขียน มีความเข้าใจในทางกฎหมายที่ต้องปรับทัศนะคติใหม่ก็คือ งานวิทยานิพนธ์ดังกล่าวในประเด็นนี้สรุปเห็นว่า "กฎหมายที่กำหนดความผิดและโทษทางอาญานั้น คำพิพากษาส่วนใหญ่ยึดมั่นในข้อห้าม มิให้กฎหมายที่กำหนดความผิดและโทษทางอาญามีผลย้อนหลัง หากจะเปลี่ยนแปลงก็จำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญเป็นอันดับแรก ประเด็นสำคัญและเร่งด่วนมากที่กฏหมายกำหนดความผิดและโทษทางอาญาจำเป็นต้องย้อนหลังได้ในบางกรณี เพราะปัจจุบันการก่ออาชญากรรมได้พัฒนาไปเร็วกว่าการพัฒนากฎหมาย กฎหมายย้อนหลังจึงมีความจำเป็นต่อการป้องกันอาชญากรรมนั้นๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการทุจริตคอร์รัปชันของข้าราชการฝ่ายการเมือง มีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายย้อนหลังในการดำเนินคดีเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อธำรงไว้ซึ่งประโยชน์มหาชน และเพื่อสังคมจะได้สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้

ส่วนกฎหมายอื่น นอกจากกฎหมายที่กำหนดความผิดและโทษทางอาญา คำพิพากษาระยะหลัง ได้ใช้หลักการชั่งน้ำหนักประโยขน์ของคุณค่าทางกฎหมาย ว่าสมควรย้อนหลังหรือไม่มากขี้นกว่าเดิม หาได้ไปเกาะเกี่ยวกับความคิดที่ว่า กฎหมายไม่พึงย้อนหลังไปกระทบกระเทือนสิทธิที่ได้รับมาแต่เดิมอีก

อ่านแล้วหวังว่าคงได้คำตอบน่ะครับว่า กฎหมายควรมีผลย้อนหลังเพื่อประโยชน์มหาชนหรือไม่เพียงใด
คอลัมน์ : ข้าพระบาท ทาสประชาชน/ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ / ฉบับ 3282 ระหว่างวันที่ 27-29 ก.ค.2560

E-BOOK แดง