"มะพร้าวอ่อน" เป็นผลไม้ที่หลายคนชื่นชอบ เพราะมีประโยชน์ต่อร่างกาย นอกจากทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งแล้ว ยังปรับสมดุลในร่างกาย มีสารชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ สารพัดประโยชน์อีกมากมาย แต่พอนึกถึงความยากลำบากในการรับประทานก็ทำให้หลายคนส่ายหน้าได้เหมือนกัน! เพราะปอกเปลือกค่อนข้างยาก แต่ถ้าจะดื่มเฉพาะน้ำมะพร้าวแบบสำเร็จรูปก็เสี่ยงที่จะเจอส่วนผสมของน้ำตาล ยิ่งไม่สะใจแบบกินเองทั้งลูกชัวร์กว่า
อุปสรรคเหล่านี้ทำให้ผู้ชื่นชอบน้ำมะพร้าวอ่อนอย่าง นายสมสิทธิ์ มูลสถาน กรรมการผู้จัดการ บริษัทโคโค อินโนเวชั่น จำกัด หันมาคิดค้นเครื่องเจาะมะพร้าวสเตนเลสส์ เพื่อตอบโจทย์ ให้กับคนชอบมะพร้าว โดยเฉพาะดื่มน้ำมะพร้าวด้วยเวลาเพียง10วินาที สามารถเทน้ำมะพร้าวใส่แก้วพร้อมดื่มได้ด้วยตนเอง อีกทั้งมีความสะดวกในการพกพา เป็นอุปกรณ์ลักษณะกะทัดรัด ปลอดภัย100%
เครื่องเจาะมะพร้าวภายใต้แบรนด์"DR.CoCo " ออกมา เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ3-4 ปีก่อนในงานที่เกี่ยวกับนวัตกรรม จัดโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ที่อิมแพ็คเมืองทองธานี บริษัทไปออกบูธโชว์สินค้าพร้อมขายได้รับความสนใจจากคนจำนวนมาก งาน5วัน ขายได้กว่า1,000 ชิ้นถือว่าประสบผลสำเร็จสำหรับจุดเริ่มต้นแรก หลังจากนั้นผลสะท้อนกลับมาต่อเนื่อง วัดผลได้ชัดเจนขึ้น จากที่มีการซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต (www.cocoinnovation.com) จนขณะนี้มีกำลังผลิตต่อปีมากกว่า 1 หมื่นชิ้นมีฐานลูกค้าทั้งในและนอกประเทศสั่งซื้อเข้ามา
[caption id="attachment_133194" align="aligncenter" width="374"]
สมสิทธิ์ มูลสถาน กรรมการผู้จัดการ บริษัทโคโค อินโนเวชั่น จำกัด[/caption]
จดแล้ว22สิทธิบัตร
จากจุดเริ่มต้นที่เกิดจากการชื่นชอบมะพร้าวอ่อน จนกลายมาเป็นธุรกิจทำให้วันนี้ สินค้าแบรนด์ "DR.CoCo " ขยายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับมะพร้าว จนมีการจดสิทธิบัตรแล้วถึง 22 สิทธิบัตร นอกจากเครื่องเจาะมะพร้าว ยังมีเครื่องผ่ามะพร้าวมีทั้งผ่าด้วยมือแบบพกพาได้สะดวกใช้ตามบ้าน คอนโดฯ และผ่าด้วยเครื่อง สำหรับใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร โรงงานทำขนม ที่ขณะนี้มีออร์เดอร์เข้ามาตั้งแต่ 50-100 เครื่องต่อปี ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก่อนหน้านี้เคยได้รับรางวัลเทคโนโลยีเครื่องจักรกลยอดเยี่ยมอันดับ 2 จากกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯมาแล้ว
นอกจากนี้ยังมีเครื่องปอกมะพร้าวปอกได้2ลูกต่อนาที ที่เพิ่งเปิดตัวได้ปีเศษขายผ่านอินเตอร์เน็ตได้ราว50 เครื่องมีทั้งลูกค้าจากสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย กัมพูชา ส่วนในประเทศจะเจาะตลาดไทย และตลาดสี่มุมเมือง กลุ่มลูกค้ามีทั้งแม่บ้าน โรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม ตลาดค้าส่ง
เปิดตลาด"โคโค ดริงส์"
นายสมสิทธิ์กล่าวอีกว่าเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา บริษัทได้ทดลองเปิดตลาดผลิตภัณฑ์"โคโค ดริงส์" มะพร้าวพร้อมดื่มมีทั้งมะพร้าวอ่อนและมะพร้าวเผาบรรจุในถุงสุญญากาศ 1 ถุงราคา 50 บาท ภายในถุงบรรจุด้วยมะพร้าว 1 ผล พร้อมดื่ม กระดาษทิชชู หลอดดูด ช้อน รับประทานได้ทันทีทั้งน้ำและเนื้อมะพร้าว
อย่างไรก็ตามจากที่บริษัทมีการพัฒนานวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับมะพร้าวมาอย่างต่อเนื่องตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมาทำให้ธุรกิจเติบโตมาได้ระดับหนึ่ง ปี 2560 จึงมีแผนเพิ่มทุนโดยเปิดทางให้ทุนไทยและต่างชาติเข้ามาร่วมทุนในสัดส่วนหุ้น40% โดยบริษัทยังคงการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ไว้ที่ 60% ขณะนี้ผลการเจรจาคืบหน้าแล้ว 20% คาดว่าภายในปลายปีนี้จะชัดเจนมากขึ้น
" เมื่อการเจรจาร่วมทุนสำเร็จจะเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 1 ล้านบาทเป็น10 ล้านบาท และพร้อมลงขันร่วมกัน 5 ล้านบาท เพื่อนำไปพัฒนาสินค้าที่มีอยู่ให้แข็งแรงขึ้น และรุกธุรกิจจำหน่ายมะพร้าวอ่อนและมะพร้าวเผาพร้อมรับประทานที่ตั้งเป้าการขายต่อวันไว้ที่ 2,000 ลูกขึ้นไป วางขายในร้านสะดวกซื้อและเปิดร้านจำหน่ายเอง รวมถึงเป้าหมายในการขยายฐานตลาดส่งออกมากขึ้น โดยมีตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศเพื่อสะดวกในการให้บริการต่อลูกค้านอกประเทศมากขึ้น ตั้งเป้าว่าจะตั้งตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศ 20 แห่งและในประเทศ10แห่ง"
ปั้นตัวเลขโต7หลักต่อเดือน
สำหรับความสำเร็จในการทำธุรกิจที่เกิดขึ้นนี้ ส่วนหนึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เช่นกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯพาไปโรดโชว์เปิดตลาดขายสินค้าตามที่ต่างๆในประเทศ เช่น ตลาดนัดคลองผดุงกรุงเกษม และการส่งเสริมผ่านเวทีประกวดจนได้รับรางวัล เช่น รางวัลไอพี แชมป์เปี้ยนอวอร์ดรวมถึงการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมที่จะพาไปโรดโชว์ตลาดเวียดนามราวเดือนพฤษภาคมปีนี้ เป็นต้น
ปัจจุบันบริษัท โคโค อินโนเวชั่น จำกัดมีรายได้ต่อเดือน 3 แสนบาท เทียบกับเมื่อ3ปีที่ผ่านมามีรายได้ต่อเดือน 5 หมื่นบาท ตั้งเป้าว่า เมื่อร่วมทุนกับพันธมิตรได้สำเร็จ บริษัทมีการลงทุนเพิ่มจะได้ผลตอบแทนกลับมาเป็นตัวเลข 7 หลักต่อเดือนได้ไม่ยาก
สุดท้ายผู้สร้างแบรนด์"DR.CoCo "ฝากถึงผู้ประกอบการกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอีว่า ธุรกิจที่เกิดขึ้นควรตระหนักถึงลูกค้าและสิทธิบัตรของผู้อื่น ซึ่ง ณ เวลานี้มีเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,241 วันที่ 5 - 8 มีนาคม พ.ศ. 2560