“แลมโบกินี อเวนทาดอร์ เอส”เปิดตัวในไทยก่อนเจนีวา มอเตอร์โชว์ ราคา  38.7  ล้านบาท

21 ก.พ. 2560 | 09:29 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ก.พ. 2560 | 16:29 น.
21 ก.พ.2560-บริษัท นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด ผู้แทนจัดจำหน่ายแลมโบกินี อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย จัดงานเปิดตัว “อเวนทาดอร์ เอส” (Aventador S)  หรือโฉมไมเนอร์เชนจ์ของกระทิงดุตัวท็อป เครื่องยนต์ วี12 ขนาด 6.5 ลิตร 740 แรงม้า ราคาเริ่มต้น 38.7 ล้านบาท

_M5A9339  การออกแบบและหลักอากาศพลศาสตร์

การออกแบบของ Lamborghini Aventador S ใหม่แสดงให้เห็นถึงแนวทางและรูปแบบในการออกแบบของเจเนอเรชั่นต่อไปของ Aventador อย่างชัดเจน ตัวรถมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงบนรูปลักษณ์ภายนอกหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนตัวถังด้านหน้าและด้านท้าย ขณะที่ภาพรวมของตัวรถยังคงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ Aventador เอาไว้ ทุกชิ้นส่วนที่มีการปรับแต่งนั้นได้รับการออกแบบใหม่เพื่อเป้าหมายในเรื่องการประสบความสำเร็จในด้านประสิทธิภาพทางด้านหลักอากาศพลศาสตร์ ขณะที่ยังคงตอบสนองในแง่ภาพลักษณ์ของ Aventador ที่เต็มไปด้วยเรี่ยวแรงพลังในการขับเคลื่อน ยิ่งไปกว่านั้น ศูนย์ออกแบบ Lamborghini Centro Stile ยังได้ออกแบบบางชิ้นส่วนบนตัวรถโดยผสมผสานเอกลักษณ์ดั้งเดิมของรถสปอร์ตรุ่นดังของค่ายเข้าไว้ด้วยกัน เช่น แนวของเส้นตัวถังบนซุ้มล้อหลังที่มีลักษณะคล้ายกับรถสปอร์ตในอดีตอย่าง Countach

_M5A4685 ตัวถังด้านหน้ามีความดุดันมากขึ้น และมีการติดตั้งแผ่นรีดอากาศที่มีขนาดใหญ่ขึ้นซึ่งจะช่วยในเรื่องการควบคุม ทิศทางการไหลของลม ขณะที่รถกำลังแล่นเพื่อประสิทธิภาพในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ที่ดีขึ้น รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการระบายความร้อนของเครื่องยนต์และหม้อน้ำ ท่อนำอากาศ 2 ท่อที่ติดตั้งอยู่ด้านข้างกันชนหน้า จะช่วยลดแรงต้านที่ส่งผลต่อความเพรียวลมตรงบริเวณที่ยางของล้อหน้า และยังช่วยทำให้อากาศมีการไหลเข้าสู่หม้อน้ำที่อยู่ทางด้านท้ายได้ดีขึ้น

460484  ทางด้านท้ายของ Aventador S  มีความโดดเด่นด้วยชุดรีดอากาศ Diffuser ที่มีสีดำขนาดใหญ่ และผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ พร้อมรูปทรงที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งประกอบไปด้วยครีบที่วางตัวในแนวตั้งหลายชิ้นซึ่งทั้งหมดจะส่งผลต่อทิศทางการไหลของลม ช่วยลดแรงฉุดที่เกิดขึ้นในขณะที่รถกำลังแล่น และสามารถสร้างแรงกดบนตัวถัง โดยที่ตำแหน่งปลายท่อไอเสียบนกันชนท้ายประกอบไปด้วยถึง 3 ปลายท่อ

สปอยเลอร์ด้านหลังสามารถปรับได้ 3  ระดับ ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ใช้และโหมดการขับขี่ที่ถูกเลือก ซึ่งระดับการยกตัวของสปอยเลอร์หลังจะมีผลต่อความสมดุลโดยรวมของตัวรถ และทำงานร่วมกับตัวสร้างกระแสลมหมุน หรือ Vortex Generator ซึ่งอยู่ในตำแหน่งด้านล่างของระบบช่วงล่างด้านหน้าและหลังในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของกระแสลมได้อย่างสูงสุด เช่นเดียวกับการช่วยระบายความร้อนให้กับระบบเบรก

460481  จากความโดดเด่นของงานออกแบบที่มีอยู่ใน Aventador S นั้นสามารถยกระดับประสิทธิภาพทางด้านหลักอากาศพลศาสตร์ได้เป็นอย่างดี แรงกดบนตัวถังด้านหน้าได้รับการปรับปรุงให้เพิ่มขึ้นถึง 130% เมื่อเปรียบเทียบกับ Aventador ตัวถังคูเป้รุ่นที่แล้ว และเมื่อแพนอากาศด้านหลังอยู่ในตำแหน่งที่มีประโยชน์สูงสุดในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ จะสามารถสร้างแรงกดบนตัวถังที่ดีขึ้นจากเดิมถึง 50% และลดแรงกระชากที่เกิดขึ้นบนตัวถังได้มากกว่า 400% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิม

4 เทคโนโลยี ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ, ระบบช่วงล่างแบบปรับระดับได้, ระบบเลี้ยว 4 ล้อ และโหมดการขับแบบใหม่ EGO Driving Mode

ระบบแชสซีส์ของ Aventador S ยังคงความโดดเด่นและไม่เหมือนใครของ Aventador เอาไว้ เช่นเดียวกับโครงสร้างตัวถังแบบโมโนค็อก ที่มีความทนทานต่อการบิดตัวและมีน้ำหนักเบาเพราะผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ โดยโครงนี้จะเชื่อมต่อเข้ากับเฟรมตัวถังที่ผลิตจากอะลูมิเนียมซึ่งผลก็คือ ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเปล่า หรือ Dry Weight เพียง 1,575 กิโลกรัมเท่านั้น

Aventador S ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ภายใต้แนวคิดที่เรียกว่า ‘Total Control Concept’ เพื่อส่งมอบประสิทธิภาพการขับขี่ในระดับสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของระบบช่วงล่าง หรือระบบควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งอยู่ในตัวรถนั้นล้วนได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า โดยมีเป้าหมายเดียวกันในเรื่องของการส่งมอบอารมณ์ในการขับขี่และการควบคุมรถที่ยอดเยี่ยม

460489  ในส่วนของระบบควบคุมอื่นๆที่ติดตั้งในตัวรถนั้น มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อรุ่นใหม่ ซึ่งมีการติดตั้งเป็นครั้งแรกให้กับรถสปอร์ตในสายการผลิตของ Lamborghini โดยระบบนี้จะช่วยปรับปรุงในเรื่องความคล่องตัวของตัวรถเมื่อขับด้วยความเร็วต่ำและปานกลาง และจะยิ่งมีการทรงตัวที่ดีขึ้นในช่วงความเร็วสูง สิ่งที่อยู่บนเพลาหน้าคือการผสมผสานการทำงานของระบบ Lamborghini Dynamic Steering (LDS) ที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นเช่นเดียวกับการตอบสนองที่ฉับไวเวลาที่เผชิญหน้ากับโค้ง และสอดประสานการทำงานอย่างเป็นพิเศษกับระบบบังคับเลี้ยวของล้อหลัง หรือ Lamborghini Rear-wheel Steering (LRS) โดยจะมีตัวควบคุมที่แยกการทำงานต่างหาก 2  ชุด และตอบสนองในการทำงานที่รวดเร็วเพียง 0.005 วินาที หลังจากที่มีการหักพวงมาลัย ทำให้ตัวระบบสามารถทำงานภายใต้มุมการเลี้ยวที่ใกล้เคียงกับสภาพที่เกิดขึ้นจริง และมีการปรับปรุงการยึดเกาะที่ดีเมื่อเข้าโค้ง

เมื่อขับด้วยความเร็วต่ำ ล้อหลังจะมีการหักเลี้ยวในลักษณะที่ตรงข้ามกับมุมการเลี้ยวที่เกิดขึ้น ผลที่เกิดขึ้นคือ ทำให้ตัวรถมีความยาวของระยะฐานล้อลดลง และจากการที่ตัวรถต้องการมุมการเลี้ยวของพวงมาลัยลดลงนั้น ทำให้ Aventador S มีความคล่องตัวมากขึ้นเพราะมีรัศมีวงเลี้ยวที่ลดลง และให้ความมั่นใจกับสมรรถนะการเข้าโค้งที่ดีขึ้น และทำให้สามารถซอกซอนท่ามกลางการจราจรที่คับคั่งของถนนในเมืองด้วยความคล่องตัว

เมื่ออยู่ในช่วงความเร็วสูงจะแตกต่างออกไป โดยทั้งล้อหน้าและล้อหลังจะหมุนไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสอดคล้องกับมุมการหมุนของพวงมาลัย ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ระยะฐานล้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้ตัวรถมีการทรงตัวที่ดี และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองการขับขี่ของตัวรถ การควบคุมในแนวดิ่งมาจากการปรับปรุงในส่วนของตัวก้านกระทุ้งในระบบช่วงล่าง และระบบช่วงล่างแบบ Lamborghini Magneto-rheological Suspension (LMS) โดยจะมีการทำงานร่วมกับระบบเลี้ยว 4 ล้อรุ่นใหม่ของตัวรถ การจัดวางชิ้นส่วนในระบบกันสะเทือนในเชิงเรขาคณิตมีการปรับปรุงใหม่ ซึ่งก็เป็นผลมาจากการทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนล้อหลัง Lamborghini Rear-wheel Steering ซึ่งการปรับปรุงนี้มีทั้งในส่วนของปีกนกตัวบน ตัวล่าง และดุมล้อ ซึ่งจะช่วยลดมุมแคสเตอร์และลดภาระที่เกิดขึ้นกับระบบช่วงล่าง  ระบบโช้คอัพที่มีการปรับระดับความหนืดแบบ Real-time ให้สอดคล้องกับสภาพการขับขี่จะช่วยควบคุมล้อและตัวถัง ให้สามารถอยู่ในระดับที่สมดุลและให้ระดับการยึดเกาะที่สูงสุด นอกจากนั้นสปริงชุดใหม่ที่ล้อหลังยังช่วยควบคุมการ สมดุลของตัวรถได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

สำหรับการควบคุมในแนวราบนั้นเป็นผลมาจากการปรับปรุงการทำงานของระบบ ESC ให้มีความแม่นยำมากขึ้น และรวดเร็วขึ้นในการควบคุมการยึดเกาะและพลวัตรในการขับเคลื่อนของตัวรถ จากการทดสอบอย่างยาวนานบนพื้นผิวที่หลากหลายทั้งบนหิมะและน้ำแข็ง Aventador S ได้รับการปรับปรุงในเรื่องของการยึดเกาะและสามารถตอบสนองด้วยประสิทธิภาพสูงสุดในทุกสภาพพื้นผิวถนน และยังช่วยเพิ่มสมรรถนะในการควบคุมรถได้อีกด้วย ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบถาวรของ Aventador S ได้รับการปรับแต่งเพื่อสมรรถนะในการทรงตัวและยึดเกาะสูงสุดซึ่งเป็นผลมาจากระบบ Lamborghini Rear-wheel Steering ทำให้สามารถส่งผ่านแรงบิดจากเครื่องยนต์ได้มากขึ้น โดยเมื่อมีการถอนคันเร่ง แรงบิดที่ถูกถ่ายทอดไปล้อหน้าจะลดลง และทำให้ตัวรถมีลักษณะการขับคล้ายกับท้ายปัด หรือ Oversteer แต่ทว่ามีความปลอดภัยและมั่นใจได้อย่างเต็มที่

วิศวกรของ Lamborghini ยังได้ติดตั้งหน่วยควบคุมและประมวลผลที่มีความเป็นอัจฉริยะอย่าง Lamborghini Dinamica Veicolo Attiva (LDVA) เข้าไปในตัวรถเพื่อควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ โดย LDVA คือสมองชุดใหม่ของตัวรถ ซึ่งจะรับข้อมูลการเคลื่อนที่ของตัวรถแบบ Real-time และมีความแม่นยำมากขึ้นผ่านทางข้อมูลต่างๆ ที่ถูกส่งมาจากเซ็นเซอร์ทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่ตามจุดต่างๆในตัวรถ ทำให้มั่นใจว่าตัวระบบได้รับการตั้งค่าระบบต่างๆ เพื่อให้มีการทำงานที่ดีที่สุด และการันตีว่าระบบควบคุมการขับเคลื่อนของตัวรถจะทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมภายใต้ทุกสภาพการขับขี่

 EGO Concept ปรับแต่งรูปแบบการขับตามใจ

Aventador S เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกรูปแบบการทำงานของระบบเพื่อสอดคล้องกับการขับขี่ได้ถึง 4 แบบด้วยกัน คือ STRADA, SPORT, CORSA และแบบใหม่ล่าสุดคือ EGO Mode ซึ่งทั้งหมดจะมีการปรับปรุงในส่วนรูปแบบการทำงานของระบบการยึดเกาะ (เครื่องยนต์, เกียร์ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ) ระบบบังคับเลี้ยว (LRS, LDS และ Servotronic) และระบบช่วงล่าง (LMS)

STRADA เป็นตัวแทนของความสะดวกสบายสูงสุดและเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน SPORT คือ ความสปอร์ตในการขับที่ให้สัมผัสในรูปแบบของการขับเคลื่อนล้อหลัง และ CORSA คือ การปรับแต่งระบบให้รองรับกับการใช้งานในสนามด้วยสมรรถนะสูงสุด

สำหรับ EGO เป็นรูปแบบการขับใหม่ที่เพิ่มเข้ามา โดยภายใต้โหมดการทำงานนี้จะมีการเพิ่มหลากหลายรูปแบบการปรับเซ็ตที่มีสไตล์เฉพาะตัว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการปรับแต่งโดยผู้ขับเอง โดยสามารถเลือกตั้งค่าการทำงานในด้านการยึดเกาะ การบังคับเลี้ยว การขับขี่นุ่มนวลและดุดันให้ผู้ขับสามารถปรับโหมดได้ตามสไตล์การขับขี่ และระบบช่วงล่างจากโหมดทั้ง 3 คือ STRADA, SPORT และ CORSA ได้ตามใจชอบ

ทุกรูปแบบการขับจะได้รับการปรับและกำหนดค่าใหม่อีกครั้งใน Aventador S โดยมีการปรับปรุงในส่วนการทำงานของระบบ ESC และระบบขับเคลื่อน 4  ล้อ รวมถึงการจัดการในส่วนการกระจายแรงบิดจากเครื่องยนต์ และการตอบสนองของระบบควบคุมการยึดเกาะ การกระจายแรงบิดสู่เพลาหน้าและหลังอย่างต่อเนื่องในแต่ละโหมดการขับขี่จะได้รับการปรับแต่งใหม่สำหรับระบบ Lamborghini Rear-wheel Steering และความแตกต่างระหวางโหมดการขับแบบต่างๆ จะได้รับการปรับปรุงให้ทำงานได้ดีขึ้น

ในโหมด STRADA การทำงานของโช้กอัพจะมีความต่อเนื่องและเน้นความนุ่มนวลเพื่อตอบสนองในเรื่องของความสะดวกสบาย และการทรงตัวที่ดีเมื่อขับอยู่บนถนนที่ขรุขระ แรงบิดจะถูกกระจายสู่ล้อหน้าและหลังในอัตราส่วน 40/60 อีกทั้งยังให้ความปลอดภัยและการทรงตัวที่ดีด้วยสมรรถนะการยึดเกาะที่ดีเยี่ยม และตัวรถจะสามารถตอบสนองต่อ การขับที่สะดวกและควบคุมง่าย

ในโหมด SPORT  ผลของการทรงตัวมาจากการทำงานของ Lamborghini Rear-wheel Steering ซึ่งจะเปิดโอกาสให้แรงบิดจำนวนมากถึง 90% จากเครื่องยนต์ถูกส่งมายังล้อหลังเพื่อความสปอร์ตอย่างสูงสุด และให้ความสนุกสนานเมื่อทะยานอยู่บนถนนที่คดเคี้ยว ความแม่นยำในการขับและการตอบสนองไปยังผู้ขับขี่ของตัวรถได้รับการปรับปรุง ขณะเดียวกันยังคงความปลอดภัยและให้ความสะดวกสบายในการขับขี่เช่นเดิม เมื่อมีการถอนคันเร่ง จะมีการส่งแรง บิดจำนวนเล็กน้อยไปยังเพลาขับล้อหน้าเพื่อช่วยทำให้ตัวรถมีความคล่องตัว และสามารถสัมผัสอาการท้ายปัด หรือ Oversteer และการดริฟท์ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่กดคันเร่งเบาๆ และควบคุมพวงมาลัยเท่านั้น

ในการขับแบบ CORSA ผู้ขับสามารถสัมผัสประสบการณ์การขับขี่แบบไม่ต้องพึ่งระบบการทำงานที่ควบคุมในเรื่อง ของพลวัตรในการขับเคลื่อนและการทรงตัวของตัวรถมากนัก ขณะเดียวกันก็ยังคงความแม่นยำและการยึดเกาะที่ดีเยี่ยมเหมือนเดิม การทำงานของโช้กอัพในระดับที่สูงสุดจะช่วยทำให้ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสอาการและการตอบสนอง กลับจากการใช้พวงมาลัย การเบรก และการกดคันเร่งได้อย่างเต็มที่ การทำงานระบบการเลี้ยวได้รับการปรับปรุงให้ทำงานได้ดีขึ้นภายใต้การใช้งานที่เน้นสมรรถนะสูง และจะมีการส่งแรงบิดที่สมดุลระหว่างล้อหน้าและหลัง โดยจะมีการกระจายแรงบิดออกมาในสัดส่วน 20/80 ระหว่างเพลาหน้าและหลังเพื่อให้รูปแบบการขับที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น และเพื่อตอบรับกับการขับในสนามได้อย่างเต็มที่

 เครื่องยนต์และระบบไอเสีย

เครื่องยนต์แบบ 12 สูบ 6.5 ลิตรที่ติดตั้งใน Lamborghini Aventador S เป็นแบบไม่พึ่งระบบอัดอากาศ และได้รับการปรับปรุงให้มีกำลังเพิ่มขึ้นอีก 40  แรงม้าจากรุ่นเดิม จนสามารถทำกำลังได้ถึง 740  แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 690    นิวตันเมตร ที่ 5,500 รอบ/นาที เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ ทั้งระบบวาล์วแปรผัน VVT(Variable Valve Timing) และระบบปรับความยาวของชุดท่อไอดี VIS (Variable Intake System) ได้รับการปรับปรุงการทำงานเพื่อเป้าหมายในการสร้างแรงบิดที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น และยิ่งไปกว่านั้น รอบการทำงานสูงสุดของเครื่องยนต์ถูกเพิ่มจาก 8,350 มาเป็น 8,500 รอบ/นาที และด้วยน้ำหนักรถเปล่าเพียง 1,575 กิโลกรัม ทำให้อัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าของตัวรถอยู่ที่ 2.13 กิโลกรัมต่อแรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100  กิโลเมตร/ชั่วโมงใช้เวลาเพียงแค่ 2.9 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบส่งกำลังเป็นแบบ ISR- Independent Shifting Rod แบบ 7 จังหวะซึ่งชุดเกียร์มีน้ำหนักเบา และมีการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติที่ฉับไวเพียง 0.05 วินาทีเท่านั้น

Aventador S ได้รับการติดตั้งชุดท่อไอเสียใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากการทำงานอันโดดเด่นของศูนย์วิจัยและพัฒนา ชุดท่อจึงมีน้ำหนักเบากว่าที่ติดตั้งในรุ่นเดิมถึง 20% และผ่านการทดสอบหลากหลายขั้นตอน และให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจในด้านการตอบสนองของเสียงคำรามอันเป็นเอกลักษณ์ของ Lamborghini ที่มาจากเครื่องยนต์วี12 ซึ่งไม่อาศัยระบบอัดอากาศ โดยจะมีการใช้ชุดปลายท่อไอเสียแบบรวมเป็นชุดเดียวกันแต่มี 3 ปลายท่อ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการจัดวางรูปแบบใหม่ของชุดปลายท่อไอเสียของ Lamborghini

เช่นเดียวกันกับรุ่นก่อนหน้านี้ Aventador S ได้รับการติดตั้งระบบ Stop-and-Start ซึ่งจะดับเครื่องยนต์และสตาร์ทขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เช่นเดียวกับระบบ Cylinder Deactivation ที่จะหยุดการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ากระบอกสูบจำนวนครึ่งหนึ่งของจำนวนกระบอกสูบที่มีอยู่ในเครื่องยนต์ เพื่อช่วยให้เครื่องยนต์ตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพในด้าน  ความประหยัดน้ำมันและลดมลพิษ โดยเมื่อเครื่องยนต์กำลังทำงานในลักษณะที่ไม่เน้นสมรรถนะ หรือรีดกำลังการทำงานอย่างเต็มรูปแบบ กระบอกสูบครึ่งหนึ่งของเครื่องยนต์ก็คือ 6 จาก 12 สูบจะหยุดการทำงานชั่วคราว โดยกระบอกสูบทั้ง 6 ที่หยุดการทำงานจะอยู่ในแนวของเสื้อสูบฝั่งเดียวกันของบล็อกเสื้อสูบแบบตัว V เมื่อผู้ขับขี่กดคัน  เร่งเพื่อเพิ่มความเร็วอีกครั้ง เท่ากับว่าเป็นการแจ้งเตือนให้เครื่องยนต์กลับมาทำงานแบบเต็มระบบอีกครั้ง และจะทำงานแบบครบทั้ง 12 สูบ โดยการตัดสลับการทำงานของระบบนี้จะมีความนุ่มนวลและต่อเนื่อง ชนิดที่ผู้ขับขี่แทบไม่สามารถสังเกตได้เลยว่าตัวเครื่องยนต์กำลังอยู่ในโหมดไหน

 ยางและระบบเบรก

Aventador S มาพร้อมกับของใหม่ทั้งชุดโดยเฉพาะในส่วนของยางที่มีความเป็นเอ็กซ์คลูซีฟ เพราะ Pirelli ได้พัฒนายางรุ่น P Zero ขึ้นมาเพื่อรถสปอร์ตรุ่นนี้โดยเฉพาะ โดยมีการออกแบบเพื่อเน้นประโยชน์ในด้านการบังคับเลี้ยว การยึดเกาะ การเปลี่ยนเลนกะทันหัน และการเบรกที่มีประสิทธิภาพ ตัวยางได้ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อตอบสนองต่อลักษณะและสไตล์การทำงานของตัวรถ ที่เน้นความคล่องตัวและฉับไวอันเป็นผลมาจากระบบ Lamborghini Rear-wheel Steering เพื่อให้ผู้ขับมั่นใจได้ว่าสามารถควบคุมและบังคับตัวรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังมีการปรับปรุงการถ่ายทอดกำลังขับเคลื่อนทั้งจากล้อหน้าและล้อหลัง ซึ่งยาง Pirelli P Zero สามารถรองรับกับการอัตราเร่ง ที่ฉับไว และลดอาการหน้าดื้อโค้งหรือ Understeer ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนั้น ในรุ่นนี้ยังมีการติดตั้งดิสก์เบรกแบบคาร์บอนเซรามิกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยดิสก์เบรกที่ผลิตจากคาร์บอนเซรามิกพร้อมกับรูระบายความร้อน (ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 400 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหน้า และ 380 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหลัง) จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพในการหยุดรถจากความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ให้หยุดสนิทโดยที่มีระยะเบรกเพียงแค่ 31 เมตรเท่านั้น

 Aventador S : ใส่ใจทุกรายละเอียดรอบตัวคนขับ

457905 ภายในห้องโดยสารของ Aventador S มาพร้อมกับฟังก์ชั่นใหม่ๆ และการตกแต่งที่ประณีต ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งการแสดงผลบนหน้าจอแบบ TFT ได้ตามความต้องการ และมาพร้อมกับหน้าจอย่อยที่ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับ STRADA, SPORT และ CORSA รวมไปถึงการทำงานแบบ EGO Mode หลังจากเลือกโหมดการขับขี่ที่ต้องการในแผงควบคุม ปุ่ม EGO ยังมีออพชั่นอื่นๆให้เลือกเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะแสดงผลบนหน้าจอเล็ก ให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกและปรับแต่งได้ตามความต้องการส่วนตัว

ตัวรถมีการติดตั้งระบบปฏิบัติการ AppleCarPlay เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สำหรับเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัวจากแบรนด์ Apple ของผู้ขับขี่ เพื่อสัมผัสความบันเทิงตลอดการเดินทาง อีกทั้งเพิ่มความสะดวกสบายด้วยระบบการสั่งงานด้วยเสียง

สิ่งที่เป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้งพิเศษคือ ระบบส่งข้อมูลการขับเข้ามาเก็บในตัวรถ หรือ Telemetry System ซึ่งระบบนี้ ผู้ขับขี่ที่นำรถลงขับในแทร็คสามารถรับทราบข้อมูลการขับ เช่น เวลาต่อรอบ และสมรรถนะของตัวรถในการขับ ณ รอบนั้น เช่นเดียวกับข้อมูลการขับในด้านต่างๆ

ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อเพิ่มความพิเศษและสอดคล้องกับรสนิยมของผู้ขับขี่แต่ละคน Aventador S ยังมีบริการการตกแต่งภายในรถแบบ customization ตามความชอบส่วนตัว ที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการผ่าน Lamborghini's Ad Personam Customization Program

สำหรับ “อเวนทาดอร์ เอส” ราคาเริ่มต้น 38.7 ล้านบาท โดยปีนี้นิชคาร์ได้โควต้ามา 7 คัน ซึ่งถูกจองไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมส่งมอบรถคันแรกในเดือนสิงหาคมนี้