ส่องเทรนด์ ตลาดที่อยู่อาศัย ปีระกา

03 ม.ค. 2560 | 07:00 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

เข้าสู่ปี 2560 อย่างเป็นทางการ แม้ภาพรวมตลาดจะไม่ค่อยสดใส ด้วยเพราะปัจจัยลบยังคงตามติดมาตั้งแต่ปี 2558 แต่ก็ยังคงมีโครงการภาครัฐอย่าง แผนการลงทุนด้านคมนาคม จำนวน 36 โครงการ มูลค่ารวม 8.95 แสนล้านบาท ให้ได้เป็นความหวังอยู่บ้าง แต่จะรอความหวังเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ ต้องช่วยเหลือตัวเองด้วยอีกทางหนึ่ง โดยการปรับตัวให้เข้ากับสภาพตลาดและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ จากการสอบถามผู้ที่อยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ถึงเทรนด์อสังหาฯในปี 2560 ก็ได้มุมมองและแนวคิดที่แตกต่างกัน

 ทาวน์เฮาส์ตํ่า 1.5 ล้านสูญพันธุ์

นายอิสระ บุญยัง นายกกิตติมศักดิ์และที่ปรึกษา สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ทาวน์เฮาส์ยังคงสินค้าที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยเพราะมีราคาที่ดินเป็นตัวแปรสำคัญ เพื่อทดแทนสินค้าประเภทบ้านเดี่ยว ที่มีราคาค่อนข้างสูง ประกอบผู้บริโภคกลุ่มนี้มีขนาดใหญ่ เมื่อเทียบกับบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม ด้วยเพราะฐานรายได้ของประชากรส่วนใหญ่อยู่ในระดับกลาง-ล่าง

แต่ด้วยราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาทาวน์เฮาส์มีการปรับขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา จะพบว่ายังพอสามารถหาซื้อทาวน์เฮาส์ในราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทหรือ 1 ล้านต้นๆ ย่านชานเมืองได้ แต่ปัจจุบันทาวน์เฮาส์ระดับราคาดังกล่าวถูกแทนที่ด้วยคอนโดมิเนียม

โดยทาวน์เฮาส์ในปัจจุบันมีราคาเริ่มต้นที่กว่า 1.5 ล้านบาท และในปี 2560 คาดว่าจะไม่เห็นทาวน์เฮาส์ในระดับราคาดังกล่าว แต่จะพบทาวน์เฮาส์ที่มีระดับราคาเริ่มต้นที่กว่า 1.8 ล้านบาท ภายใต้รูปแบบฟังก์ชั่นการใช้งานที่สามารถทดแทนบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดได้

“ราคาที่ดิน ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทาวน์เฮาส์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้หากเปรียบเทียบในเรื่องของการปรับขึ้นราคากับสินค้าประเภทอื่นๆในช่วงที่ผ่านมา พบว่า ทาวน์เฮาส์มีการปรับขึ้นของราคาอยู่ที่ 5-7% ขณะที่บ้านเดี่ยวปรับขึ้น 3-4% คอนโดมิเนียมย่านชานเมือง 3-4% และคอนโดมิเนียมในเมือง 5-8%”

 โครงการแนวราบเน้นหน้ากว้าง

ด้าน นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนลประเทศไทย กล่าวว่า ในปี 2560 โครงการแนวราบจะยังคงเป็นฐานรายได้หลักของผู้ประกอบการ สำหรับรูปแบบของสินค้าจะเน้นความกว้างของหน้าบ้านมากขึ้น เช่น บ้านเดี่ยวที่มีระดับราคาขายมากกว่า 8.5 ล้านบาท เดิมหน้าบ้านจะกว้างเพียง 12-15 เมตร แต่จะถูกปรับให้เป็น 18-20 เมตร และลดความลึกของตัวบ้านลงจาก 12 เมตร เป็น 8-10 เมตร เพื่อให้ความรู้สึกว่าบ้านมีขนาดใหญ่ สมกับความเป็นบ้านราคาแพง

สำหรับทาวน์เฮาส์ก็จะเห็นทาว์นเฮาส์ 3-4 ชั้นมากขึ้น ซึ่งทาวน์เฮาส์ลักษณะนี้ส่วนจะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยมีราคาขายเริ่มต้นที่ประมาณ 10 ล้านบาทต่อหน่วย สำหรับทาวน์เฮาส์ 3 ชั้นหน้ากว้าง 5 เมตรขึ้นไปหรือมีเนื้อที่ใช้สอยภายในบ้านเริ่มที่ประมาณ 185 ตารางเมตรขึ้นไป ถึงมากกว่า 300 ตารางเมตร สำหรับทาวน์เฮาส์ 4 ชั้น ในส่วนของทาวน์เฮาส์พื้นที่เมืองชั้นใน ราคาเริ่มต้นที่มากกว่า 35 ล้านบาทต่อหน่วย สำหรับทาวน์เฮาส์ 3.5 ชั้นหน้ากว้าง 6 เมตรพื้นที่ใช้สอย 380 – 430 ตารางเมตร ขนาดพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านของบางโครงการมากกว่าบ้านเดี่ยวโดยทั่วไป

ในส่วนของคอนโดมิเนียมขนาดเล็กคงพบได้น้อยลง เพราะไม่สอดรับกับการอยู่อาศัยจริง เนื่องจากห้องมีขนาดเล็กเกินไป ในเรื่องของงานดีไซน์ก็ยังคงต้องให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง แต่คงไม่เห็นโครงการที่ใช้ดีไซเนอร์ต่างประเทศมากนัก หากผู้ประกอบการโครงการนั้นๆไม่ต้องการที่จะขายสินค้าในราคาที่สูงเกินกว่าตลาดหลายเท่าตัว

 นวัตกรรมที่อยู่อาศัย

ในช่วงที่ผ่านมาจะพบว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่นิยมนำเรื่องของนวัตกรรมการอยู่อาศัยมาใช้มากขึ้น ซึ่งแนวโน้มบ้านในลักษณะนี้จะเพิ่มมากขึ้น ด้วยเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคและเทรนด์ของสังคมเปลี่ยนแปลงไปหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของนวัตกรรมมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น บ้านผู้สูงอายุ บ้านประหยัดพลังงาน

ล่าสุด บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดตัวโครงการต้นแบบพฤกษา พลัส เฮ้าส์ (Pruksa Plus House) ที่นำเอาเรื่องของนวัตกรรมมาใช้เต็มระบบ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยใน 4 ด้าน ซึ่งถือได้ว่าเป็นเมกะเทรนด์ของการอยู่อาศัยในอนาคต ประกอบด้วย 1. บ้านแข็งแรงปลอดภัย ด้วยการก่อสร้างที่ใช้นวัตกรรม “พฤกษา พรีคาสท์” 2. บ้านที่ใส่ใจสุขภาพและผู้สูงอายุ เลือกใช้วัสดุภายในบ้านที่คำนึงถึงสุขภาพของผู้อยู่อาศัย เช่น วัสดุก่อสร้างและวัสดุตกแต่งที่ปราศจากสารก่อมะเร็ง ห้องน้ำดีไซน์สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยลิฟต์ (แบบเก้าอี้เลื่อน) สำหรับผู้สูงอายุหรือผู้มีปัญหาในการขึ้นลงบันได การออกแบบฟังก์ชั่นภายในบ้านเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุ เช่น ทางลาดสำหรับรถเข็น

3. บ้านประหยัดพลังงาน ที่มีการนำเทคโนโลยีและกระบวนการก่อสร้างที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและนำพลังงานทดแทนมาใช้ เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ระบบ Ice Storage / Hot Water Storage การติดตั้งฉนวนกันความร้อนภายในบ้าน การใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ ระบบระบายอากาศที่ออกแบบให้กันความร้อนและควบคุมอุณหภูมิภายในบ้าน และ 4.บ้านทันสมัย (Smart Home) ที่ได้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ตอบสนองการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ด้วยการนำแอพพลิเคชั่นมาใช้ในการควบคุมการเปิด-ปิดสวิตช์ไฟ เครื่องปรับอากาศ และกล้องวงจรปิดภายในบ้านบนสมาร์ทโฟน เป็นต้น

นอกจากบมจ.พฤกษาแล้วยังมีอีกหลายบริษัทที่เห็นเทรนด์ในเรื่องของนวัตกรรมการอยู่อาศัย อาทิ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่นำเรื่องของระบบโซล่าเซลล์มาใช้ทั้งโครงการ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นำการออกแบบและวัสดุที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุมาใช้ในโครงการระดับบน เป็นต้น ซึ่งในเรื่องของนวัตกรรมจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตประจำวัน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,223 วันที่ 1 - 4 มกราคม 2560