ธุรกิจร้านอาหารแข่งเดือด แฟรนไชส์ดังต่างชาติกรีฑาทัพบุกเมืองไทย “โออิชิ” ปรับยุทธศาสตร์ชะลอแผนเปิดแบรนด์ใหม่ หันมาเร่งปรับภาพลักษณ์แบรนด์ในเครือสู้ศึก แย้มปีหน้าตลาดร้านอาหารแข่งดุเรื่องราคา หลังสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว ฟาก “โบเตย่า” ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังประเดิมรุกตลาดชี้แม้ภาพรวมแข่งขันรุนแรงแต่มีโอกาสเติบโต ขณะที่กลุ่มฟูดแลนด์เปิดใหม่แบรนด์พิซซ่าชื่อดังจากเกาหลี “Mr.Pizza” เสริมพอร์ตธุรกิจ
[caption id="attachment_103958" align="aligncenter" width="700"]
แบรนด์ร้านอาหารและเบเกอร์รี่ที่พาเหรดเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย[/caption]
นายไพศาล อ่าวสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจอาหาร บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มและร้านอาหารในเครือโออิชิ อาทิ โออิชิ แกรนด์, ชาบูชิ, โออิชิราเมน ฯลฯ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า หลังจากที่แบรนด์ร้านอาหารต่างชาติทั้งอาหารคาว หวาน เบเกรี่ ฯลฯ เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยมากขึ้นช่วง 2-3 ปีทีผ่านมา ทำให้ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารในเมืองไทยมีการแข่งขันที่รุ่นแรงเพิ่มมากขึ้น โดยประเมินว่ากลยุทธ์หลักที่ผู้ประกอบการแต่ละแบรนด์จะให้ความสำคัญในการนำมาใช้ในการกระตุ้นยอดขายให้กับธุรกิจอาหารปีหน้ายังคงเป็นเรื่องของกลยุทธ์ด้านราคาเป็นสำคัญ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ยังชะลอตัว กอปรกับการที่แบรนด์มีหลากหลายขึ้นทำให้ต้องมีการแข่งขันเพื่อทำให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจในตัวแบรนด์
ขณะที่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้มองว่าภาพรวมธุรกิจอาหารจะมีอัตราการเติบโตที่ดีที่สุดของปี เนื่องจากเป็นช่วงของการเฉลิมฉลองที่ไม่ใช่แค่เฉพาะผู้บริโภคทั่วไปเท่านั้น หากแต่บริษัท ห้างร้านต่างๆจะออกมาจัดงานเทศกาลปีใหม่แทบทั้งสิ้น ซึ่งจะส่งผลให้การแข่งขันในตลาดร้านอาหารทั้งรายเล็กและรายใหญ่มีการแข่งขันกันสูงขึ้นกว่าช่วงปกติ เนื่องจากต้องการแย่งชิงลูกค้าในช่วงไฮซีซั่นเพื่อกระตุ้นยอดขาย หลังจากภาพรวมช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของธุรกิจร้านอาหารยังมีอัตราการเติบโตทรงตัวจากปีที่ผ่านมา
"ภาพรวมธุรกิจอาหารในช่วงที่ผ่านมายังทรงตัว แต่ปกติช่วงไอซีซั่นจะได้แก่ไตรมาส 4 และช่วงไตรมาส 1 ถือเป็นช่วงที่มียอดขายเติบโตมากที่สุด แต่ไม่สามารถประเมินได้ว่าจะมีการเติบโตเท่าไหร่และอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่จะผลักดันให้ธุรกิจมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นคือ นโยบายกระตุ้นภาษีของภาครัฐที่ที่จะช่วยให้ภาพรวมอุตสาหกรรมดีขึ้น หลังจากปีที่ผ่านมาประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก"
สำหรับแผนงานปีหน้าบริษัทเพื่อรองการแข่งขันในตลาดและจำนวนแบรนด์ร้านอาหารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อจะหันไปให้ความสำคัญกับการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ในเครือใหม่เพื่อรองรับการแข่งขะนในธุรกิจร้านอาหาร ไม่ว่าจะเป็น โออิชิ บุฟเฟต์,นิกุยะ ชาบูชิ ,คาคาชิ เป็นต้น หลังจากที่ปีนี้บริษัทเริ่มทยอยปรับภาพลักษณ์ในส่วนของแบรนด์ชาบูชิ ในชื่อแคมเปญ "Shabushi and So Much More" กับการพัฒนาเมนูใหม่สารพัดหลายสิบเมนู (New Menu Specials) ซึ่งปีหน้าถือเป็นการปรับภาพลักษณ์ต่อเนื่องจากปีนี้ และแบรดน์นิกุยะ ที่มีการเพิ่มเมนูในรูปแบบอะลาคาร์ทเข้าไปในช่วงที่ผ่านมา จากเดิมที่มีเพียงแบบบุฟเฟต์ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี เพื่อรองรับการแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารที่รุนแรงขึ้นทั้งจากผู้ประกอบการรายเดิม และการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่
ทั้งนี้แผนการนำเข้าแบรนด์ใหม่มาทำตลาดนั้น เบื้องต้นบริษัทชะลอแผนการลงทุนออกไปก่อน เนื่องจากมองว่าสภาพเศรษฐกิจและการแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารปัจจุบัน ยังไม่เอื้อต่อการเดินหน้าลงทุน ซึ่งคงต้องรอดูสภาพการณ์สภาพเศรษฐกิจและการแข่งขันโดยรวมหลังปีหน้า (2560) เสียก่อนจึงจะสามารถสรุปแผนงานการลงทุนในส่วนของแบรนด์ใหม่ได้ โดยวางเป้าหมายยอดขายในสิ้นปีนี้ไว้ที่กว่า 7,000 ล้านบาท
"จากการที่หลายแบรนด์เริ่มหันมาทำธุรกิจร้านอาหารในรูปแบบบุฟเฟต์เพิ่มมากขึ้น ทำให้กลุ่มผู้บริโภคไม่รู้สึกตื่นเต้นกับรูปแบบการตลาดแบบบุฟเฟต์แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ทางบริษัทจะโฟกัสในการทำตลดาปีหน้าคือการเน้นเรื่องการปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ในเครือทั้งหมดเพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในแง่ของคุณภาพ และบริการ โดยเฉพาะในแบรนด์ชาบูชิ ที่อยู่ในตลาดมาเป็นเวลา 11 ปีแล้ว ซึ่งมีความจำเป็นต้องปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยมากขึ้นทั้งนี้ถือเป็นการปรับภาพลักษณ์ต่อเนื่องจากปีนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของตราสินค้า หรือแบรนด์โดยให้ความสำคัญในแง่ของ "คุณค่า" ทั้งด้านสินค้าและบริการ"
ด้านนายศรีภูมิ ใยเจริญ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท จูลายทูไฟว์ จำกัด ผ้ประกอบการเชนร้านอาหารญี่ปุ่นประเภทยากิโซบะ ภายใต้แบรนด์ "โบเตย่า" เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้รับสิทธิ์หรือมาสเตอร์แฟรนส์ ในการทำตลาดและขยายสาขาร้านอาหารญี่ปุ่น "โบเตย่า" แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ภายใต้สัญญา 10 ปี และเปิดให้บริการไปแล้วสาขาแรกที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อช่วงกลางเดือนเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา พบว่าลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มพนักงานออฟฟิศ ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก รองมาคือกลุ่มครอบครัว และวัยรุ่นรวมถึงนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น
ล่าสุดบริษัทได้เตรียมขยายสาขาที่ 2 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลปิ่นเกล้า ในรูปแบบคีออส แบบมีที่นั่งภายในร้าน 3-4 โต๊ะ ภายใต้งบประมาณการลงทุนที่ 3 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการในย่านดังกล่าวในช่วงสิ้นปีนี้ ขณะที่แผนการดำเนินงานระยะยาวนับจากนี้คือการวางเป้าหมายขยายสาขาให้ครบ 15 สาขาภายใน 10 ปี ทั้งในกรุงเทพและปริมณฑล แบ่งเป็นการลงทุนเอง 70% เน้นขยายในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล และอีก 30% เป็นรูปแบบการขายแฟรนไชส์ ซึ่งจะเน้นในพื้นที่ต่างจังหวัด ขณะที่ในส่วนของหัวเมืองใหญ่ต่างจังหวัด อาทิ เชียงใหม่ และภูเก็ต มีแผนขยายสาขาในช่วง 4 ปีนับจากนี้ (2563) ผ่านงบประมาณการลงทุนเบื้องต้นนั้นคาดว่าจะต้องใช้สาขาละ 7-8 ล้านบาท บนพื้นที่ 135 ตร.ม. ซึ่งมองว่าเป็นขนาดที่เหมาะสมในการบริหารจัดการ
"ต้องยอมรับว่าปัจจุบันธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทยมีการแข่งขันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยความแตกต่างของแบรนด์ที่เป็นร้านประเภทยากิโซบะที่ยังไม่ค่อยมีการทำตลาดในประเทศไทย ซึ่งในตลาดส่วนใหญ่เป็นร้านประเภทซูชิ และชาบู มากกว่า ดังนั้นบริษัทจึงมองเห็นช่องว่างทางการเติบโตและโอกาสทางธุรกิจอยู่ โดยจุดเด่นของร้านอยู่ที่ความหลากหลายของเมนู ประกอบกับราคาอาหารที่ไม่แพงจนเกินไป หรือเริ่มต้นที่ 150 -300 บาท เมื่อเทียบกับที่ประเดทศญี่ปุ่นที่มีราคาแพงกว่าเท่าตัว ทำให้มองว่าจะสามารถสร้างแบรนด์ในตลาดได้ตามเป้าหมายที่กำหนด"
อย่างไรก็ตามในส่วนของผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาหลังจากเปิดสาขาแรก พบว่ายอดขายมีการเติบโตขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันมียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 1.5 ล้านบาท ซึ่งมองว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อผู้บริโภคที่ชะลอตัวในปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังทางกลุ่มฟู้ดแลนด์ก็เริ่มเข้านำกลุ่มธุรกิจร้านอาหารเข้ามารุกตลาดเมืองไทยในช่วงที่ผ่านมา และเริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการใน 2 แบรนด์หลัก ได้แก่ "ทิม โห หวั่น" ติ่มซำจากฮ่องกง โดยเปดให้บริการเป็นสาขาแรก ณ ศูนย์การค้าเทอมินอล 21 และแบรนด์ Mr.Pizza ร้านพิซซ่าชื่อดังจากประเทศเกาหลี เข้ามาทำตลาดเป็นสาขาแรด ณ ศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา ไปเมื่อกันยายนที่ผ่านมา
นายสมศักดิ์ ตีระพัฒนกุล ประธานบริหาร บริษัท ฟู้ดแลนด์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวแฟรนไชส์ร้านพิซซ่าชื่อดังจากประเทศเกาหลี "มิสเตอร์พิซซ่า" เข้ามาเปิดให้บริการในเมืองไทย โดยเปิดให้บริการเป็นสาขาแรกที่ ศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดาไปเมื่อช่วงเดอืนกันยายนที่ผ่านมา เพื่อรองรับเทรนด์ตลาดที่คนรุ่นใหม่นิยมรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น ซึ่งบริษัทเชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี หลังจากที่ผ่านมาบริษัทประสบความสำเร็จในธุรกิจร้านอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านถูกและดี มุมอาหารที่เปิดให้บริการในฟู้ดแลนด์ ซูเปอร์มาร์เก็ต
ขณะเดียวกันบริษัทยังได้เปิดร้านแฟรนไชส์ติ่มซำจากฮ่องกง "ทิม โห หวั่น" (Tim Ho Wan) สาขาแรกขึ้นที่ศูนย์การค้าเทอร์มินัล 21 บนพื้นที่กว่า 300 ตารางเมตร งบลงทุนกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการกว่า 500 คนต่อวัน สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทำให้เชื่อว่าจะสามารถคุ้มทุนและมีกำไรภายในระยะเวลาปีเศษ เร็วกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยไฮไลท์ของทิม โห หวั่น คือคุณภาพอาหารจากฝีมือของเชฟมิชลิน ระบบโอเปอเรชั่นที่ได้มาตรฐาน เมนูหลากหลายรวม 25 เมนู และราคาถูกกว่าโรงแรม 5 ดาวเกือบ 50%
"บริษัทซื้อแฟรนไชส์ร้านทิม โห หวั่น ร้านติ่มซำชื่อดังเข้ามาเปิดให้บริการในเมืองไทยด้วยระยะเวลาสัญญา 8 ปี หลังจากที่ติดต่อเจรจากันนาน 3-4 ปี ซึ่งปัจจุบันทิม โห หวั่นเปิดให้บริการใน 8 ประเทศ อาทิ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไต้หวัน ออสเตรเลีย ฯลฯ และกำลังจะขยายตลาดไปยังมาเก๊า และญี่ปุ่นในปีหน้า" นายสมศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งกลุ่มบริษัทอย่าง "คิง ฟูด กรุ๊ป" ที่เปิดตัวมาเพื่อรุกธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่ม-เบเกอรี่ อย่างครบวงจร ภายใต้การนำของ "ดร.อุษณีย์ มหากิจศิริ ลีโอณีโอ" กับบีรนด์ชื่อดังมากมายอย่างโดนัทคริสปี้ ครีม,ซินนาบอนเบเกอรี่,บลูโกกิ บราเธอร์ส, พาย เฟสซ์,แจมบาร์ จูซ และร้านร้าน IHOP โดยมีเป้าหมายที่จะมีรายได้ 5,000 ล้านบาท ภายในปี 2562 รวมทั้งการเป็นองค์กรที่มีความพร้อมในด้านพนักงานและการบริการที่มีคุณภาพ และผลักดันให้เป็นองค์กรชั้นนำในด้านอาหารและเครื่องดื่มของเมืองไทย ผ่านพอร์ตสินค้าหลากหลายครอบคลุมเป็นที่รู้จักและจดจำของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี และ เพื่อรองรับการเติบโตในธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกด้วย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,198 วันที่ 6 - 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559